ไผ่สิงห์ทองฟาร์ม นำร่องติดระบบฟอกกลิ่น เพื่ออยู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน

            จากการขยายตัวของชุมชนเข้ามาอาศัยอยู่ใกล้ฟาร์มปศุสัตว์มากขึ้น ทำให้มีปัญหากลิ่นและมลภาวะนำไปสู่การร้องเรียน ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์จำเป็นต้องให้ความสำคัญและปรับตัว ดังเช่น “ไผ่สิงห์ทองฟาร์ม” ที่เดินหน้าจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดปัญหามลภาวะจากฟาร์ม โดยเฉพาะปัญหากลิ่น จึงร่วมมือกับ “ไบโอซาย” นำร่องติดตั้งระบบฟอกกลิ่น ขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ไม่ให้ส่งผลกระทบกับชุมชนใกล้เคียง เพราะหากไม่ปรับตัวก็อาจอยู่ในธุรกิจนี้ต่อไปได้ยาก พร้อมวิงวอนรัฐให้ช่วยจัดการปัญหาต้นทุนสูง หมูเถื่อน และราคาตกต่ำบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้เลี้ยง

คุณไพโรจน์ (ป๋าโรจน์) พวงศิริ ประธานกรรมการผู้จัดการ ผู้ก่อตั้ง ไผ่สิงห์ทองฟาร์ม เปิดเผยว่า บริษัท ไผ่สิงห์ทองฟาร์ม ก่อตั้งในปี 2545 ดำเนินกิจการเลี้ยงสุกรพันธุ์ผลิตลูกสุกร ก่อนมาสร้างฟาร์มเลี้ยงสุกรขุน จากนั้นก็ขยายมาดำเนินกิจการเลี้ยงไก่ไข่ ปัจจุบันมีแม่พันธุ์สุกรรวม 15,000 แม่ สุกรขุนประมาณ 60,000 ตัวและไก่ไข่ 400,000 ตัว ซึ่งในช่วงแรกที่เริ่มเลี้ยงแม่พันธุ์ ได้สร้างฟาร์มห่างจากชุมชนพอสมควร รอบฟาร์มส่วนใหญ่เป็นนาข้าว และบ่อทรายเป็นหลัก

แต่หลังจากขยายกำลังการผลิต ชุมชนก็ขยายตามเข้ามาใกล้ จึงต้องให้ความสำคัญกับการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยจัดทำระบบไบโอแก๊สบำบัดของเสีย นำแก๊สไปใช้ปั่นไฟฟ้าลดการใช้พลังงาน และไม่ปล่อยออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะ แต่ก็ยังพบปัญหากลิ่นอยู่ จึงต้องหาทางกำจัดกลิ่นจากฟาร์มให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งกลิ่นจากฟาร์มประกอบด้วย 3 ชนิดหลัก คือ แอมโมเนีย ไฮโดรเจนซัลไฟ และมีเทน โดยเริ่มจากการวิธีการต่างๆ ตัวอย่างเช่น การใช้จุลินทรีย์ลดกลิ่น และปลูกต้นไม้หลังพัดลมโรงเรือน ต่อมามีโอกาสเดินทางไปดูงานที่จีน เห็นวิธีการกำจัดกลิ่นจากโรงเรือนสุกร ก็ได้นำมาปรับใช้ แต่ยังลดกลิ่นได้ไม่มากพอ

หลังจากนั้น บริษัท ไบโอซาย ได้มาแนะนำวิธีการกำจัดกลิ่นที่สามารถวัดผลได้ ก็เกิดความสนใจและตัดสินใจนำร่องติดตั้งระบบ 1 หลัง เนื่องจากฟาร์มใช้ระบบโรงเรือน EVAP มีพัดลมดูดอากาศออกด้านท้ายโรงเรือนที่มีกลิ่นปนมาด้วย ซึ่งกลิ่นเหล่านี้ต้องใช้น้ำเป็นตัวจับ จึงใช้ผลิตภัณฑ์ของไบโอซายผสมน้ำ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดกลิ่น โดยสเปรย์ฝอยฟุ้งกระจายน้ำ พร้อมกันนี้ยังมีแผงพลาสติกชนิดพิเศษ ติดตั้งด้านท้ายโรงเรือน ซึ่งจากทดสอบระบบฟอกกลิ่นมาก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ลดกลิ่นได้เป็นอย่างดี และหลังทำไประยะหนึ่งก็อาจไม่ต้องสเปรย์น้ำ 24 ชั่วโมง ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์วัดกลิ่น ช่วงใดกลิ่นมากก็เปิดระบบสเปรย์ กลิ่นลดลงถึงระดับที่ตั้งไว้ก็หยุด เพื่อประหยัดพลังงานและน้ำได้ด้วย

               ถึงแม้ว่า แม้ระบบฟอกกลิ่นนี้ต้องลงทุนเพิ่ม แต่ถ้าไม่ทำก็จะอยู่ร่วมกับชุมชนไม่ได้ ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ มิฉะนั้น ก็อยู่ต่อไปได้ยาก แม้ต้องเพิ่มต้นทุนแต่ก็ต้องทำ ไม่งั้นฟาร์มก็อยู่ร่วมกับชุมชนไม่ได้ และจะถูกชาวบ้านร้องเรียน ที่สำคัญ ทำแล้วต้องมีตัววัดว่า ก่อนทำกลิ่นเป็นอย่างไร ระดับเท่าใด และหลังทำแล้วกลิ่นหมดไปหรือไม่ หรือมีน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยต้องมีเครื่องตรวจวัดที่เขื่อถือได้ โดยตั้งเป้าติดตั้งระบบฟอกกลิ่นต่อไปให้ครบทุกโรงเรือน

            “ทุกวันนี้การทำฟาร์มเลี้ยงสุกรไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องทำประชาพิจารณ์ ขออนุญาตหน่วยงานท้องถิ่นที่มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์มากมาย ดังนั้น ฟาร์มที่เกิดขึ้นใหม่ต้องประเมินเรื่องการกำจัดการกลิ่น เช่นเดียวกับฟาร์มเก่าที่ต้องใส่ใจเรื่องกลิ่นเช่นกัน วันนี้ฟาร์มสุกรลำบาก เพราะทุกวันนี้ขาดทุน เพราะราคาหมูเป็นถูก เนื่องจากมีหมูกล่อง แช่เย็น เข้ามาตีตลาดจำนวนมาก เพราะต้นทุนต่ำกว่า ไทยที่มีต้นทุนสูงตามราคาวัตถุดิบ ฟาร์มทุกวันนี้ขาดทุนทั้งหมด ทั้งฟาร์มเล็กหรือใหญ่ จึงต้องหาวิธีการจัดการ เพื่อให้อยู่ได้ หากต้องการอยู่ในอาชีพนี้ต่อไป” คุณไพโรจน์กล่าว

               ขณะที่ คุณกิตติพงศ์ พวงศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไผ่สิงห์ทองฟาร์ม  เปิดเผยว่า การกำจัดกลิ่นจากฟาร์มสุกร เดิมทีอาจไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เนื่องจากฟาร์มอยู่ห่างจากชุมชนพอสมควร แต่หลังจากที่ฟาร์มขึ้นโรงเรือนมากขึ้น และมีชุมชนเข้ามาสร้างบ้านเรือนใกล้ฟาร์มมากขึ้น จึงต้องให้ความสำคัญ โดยในระยะแรกก็เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ราชการเข้ามาแนะนำว่าควรทำอย่างไร เช่นการติดตั้งแสลนกรองกลิ่น ปลูกต้นไม้ ซึ่งทำแล้วก็ยังไม่ได้ผลมากนัก จนกระทั่งกลางปีที่แล้วได้มีโอกาสไปดูงานที่ประเทศจีน ที่เมืองฉางชา และเห็นฟาร์มที่จีนทำระบบนี้ ก็ได้สอบถามและคาดว่า น่าจะได้ผล ก็นำมาทดลองที่ฟาร์ม แต่ก็เกิดปัญหาที่ไม่มีตัวแบบมาด้วย ก็ต้องคิดค้นหาวิธีการขึ้นมาใหม่ทั้งโรงเรือน วัสดุก็ต้องหาสิ่งที่คิดว่า น่าจะใช้ได้ โดยช่วงแรง ใช้ตาข่ายที่ทำเป็นม่านน้ำก็ใช้ตาข่ายทั่วไป แต่ทำหลายชั้น 5 บ้าง 10 บ้าง ก็ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร

จนกระทั่งไบโอซาย ก็ได้เข้ามาให้คำแนะนำวัสดุตัวหนึ่งที่เรียกว่า มีเดีย เป็นเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมัน ก็ได้เริ่มทดลองนำมาใช้ ซึ่งพบว่า ผลดี ลดกลิ่นลงได้มาก โดยประเมินจากเครื่องวัดกลิ่นทั้ง แอมโมเนียและไฮโดรเจนซัลไฟล์ที่ ลดลงมาก ก็คิดว่า เป็นวิธีที่การน่าจะลงตัวแล้ว จึงคิดว่าจะขยายไปยังโรงเรือนอื่นๆ ต่อไป โดยที่แห่งนี้มีโรงเรือนประมาณ 100 โรงก็คงไล่ทำจนกว่าจะครบ ก็เชื่อว่าจะแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นได้ดี ลดปัญหากับชุมชน

อีกประเด็นที่ต้องป้องกันสิ่งเหล่านี้ เพราะกระทรวงแรงงานที่มีมาตรการในการคุ้มครองสวัสดิภาพแรงงาน และคนทำงานในที่ทำงานก็มีกติกา และมีมาตรการว่า มีแสง เสียง และกลิ่นในปริมาณเท่าไร อย่างไร มีข้อบังคับเช่นกัน ซึ่งทุกปีก็จะมีการตรวจสอบจากคนกลาง ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบที่กระทรวงแรงงานขึ้นไว้ เข้ามาวัด ซึ่งจากการวัด โดยบริษัทคนกลางก็พบว่า ฟาร์มผ่านเกณฑ์มาตรฐานของกระทรวงแรงงานทั้งหมด ทั้ง แสง เสียง และกลิ่น ที่ไม่เกินเกณฑ์ ก็เป็นอีกเหตุผลหลักที่ต้องจัดการปัญหาเรื่องกลิ่นให้ดีขึ้น

อนาคตปัญหากลิ่นและสิ่งแวอล้อมยิ่งมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะกฎหมายคุ้มครองประชาชน สิ่งใดที่รบกวนความเป็นอยู่ของประชาชนในกฎหมายก็จะต้องจัดการทั้ง กลิ่น น้ำเสีย สารเคมี ที่เข้ามาทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนเดือดร้อน กฎหมายคงไม่ยอมแน่นอน ทำให้ฟาร์มปศุสัตว์ ทั้งหมูและไก่ ปัญหากลิ่นและน้ำเสียจึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้ประกอบกิจการนี้ต้องระมัดระวังและแก้ปัญหาให้ดี เพื่อให้อยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน” คุณกิตติพงศ์กล่าว

น.สพ.ทศพร ปัญญาอัตร ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไบโอซาย แอนนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า บริษัท ไบโอซาย มีความตั้งใจระบบสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับนโยบาย ESG เพื่อให้ฟาร์มปศุสัตว์อยู่ร่วมกับชุมชนได้ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัท ได้ติดตั้งพลังงานสะอาดให้กับฟาร์ม โดยในปีที่แล้วติดตั้งพลังงานสะอาดให้กับฟาร์มได้ประมาณ 10 เมกะวัต หลังจากนั้นก็ดำเนินการระบบฟอกกลิ่น โดย ไผ่สิงห์ทองฟาร์ม ถือเป็นต้นแบบในการทำระบบฟอกกลิ่นให้กับฟาร์มปศุสัตว์

โดยแบบได้ปรับปรุงตัวแบบมาจากเล้าต้นแบบในประเทศจีน และนำเทคโนโลยีที่มีเกี่ยวกับระบบกำจัดกลิ่น แผงกำจัดกลิ่น น้ำยา นำมาออกแบบใหม่ เพื่อให้ลักษณะการสร้างโรงเรือนและระบบฟอกกลิ่นเหมาะกับประเทศไทยมากที่สุด โดยระบบ ESG ที่ไบโอซายทำคาดหวังว่า จะทำให้ฟาร์มปศุสัตว์อยู่ร่วมกับชุมชนได้ และเป็นแหล่งทำเงิน แหล่งรายได้ของชุมชนในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยมีการผลิตสุกร ไก่ และไข่ เพื่อจัดส่งให้กับคนทั้งประเทศบริโภคและส่งออก ดังนั้น ฟาร์ม ฟาร์มหมูฟาร์มไก่ ก็เป็นแหล่งที่ทำให้รายได้จากเมืองหลวงย้อนกลับในชุมชน ทำให้ทุกคนอยู่ดีกินดี ถ้าฟาร์มหมูอยู่ได้ ทุกคนก็อยู่ได้  ซึ่งบริษัททำก็คาดหวังว่า ธุรกิจปศุสัตว์จะอยู่คู่กับประเทศไทยไปอย่างยั่งยืน ดังนั้น การจัดการสิ่งแวดล้อมถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี จะทำให้คนภายนอกอยู่ร่วมกับฟาร์มได้ และทำให้คนในฟาร์มทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขได้เช่นกัน

การลงทุนติดตั้งระบบฟอกกลิ่น ต้นทุนด้านรูปแบบทางบริษัทยินดีเปิดแบบให้ทุกคนเข้าถึงตัวแบบได้ ถือว่า ไม่มีต้นทุนแบบ ที่เหลือจะเป็นต้นทุนโครงสร้าง ซึ่งรวมประมาณ1แสนบาทต่อหลัง หรือหากเป็นโครงสร้างอย่างดีเป็นเมทัลชีทอย่างหนา แข็งปูนอย่างดี จะอยู่ที่ 200,000-300,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรือนเดิม เพราะระบบจะทำหน้ากว้างเท่ากับโรงเรือนเดิม ส่วนมีเดียหรือก้อนฟอกกลิ่นก็อยู่ที่ 80,000-100,000 บาท

การลงทุนครั้งแรกยอมรับว่า ต้องลงทุนค่อนข้างสูง แต่เมื่อประเมินอายุการใช้งานที่ประเมินไว้ที่ 12 ปี ก็เหลือถือว่า ไม่แพง ส่วนตัวระบบที่มีการสเปรย์ม่านน้ำ ก็จะมีน้ำยาเข้าไป หากสเปรย์แล้วน้ำยาหายไปจากระบบก็จะทำให้ค่อนข้างเปลือง ก็ต้องทำระบบหมุนเวียนน้ำ น้ำยาที่ใช้จะถูกนำกลับมาในระบบ ซึ่งเหมือนกับระบบคูลลิงแพด ตัวระบบสเปรย์น้ำ ระบบกรอง ก็จะทำให้น้ำเสียจากระบบการฟอกกลิ่นออกมาน้อยมาก และคาดว่า จะใช้น้ำในระบบฟอกกลิ่นเพียง 3 ลูกบากศ์เมตรต่อเดือน ทำให้ต้นทุนระบบค่อนข้างต่ำ และนำที่ออกจากระบบนี้ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตัวน้ำยาสามารถโดนตัวคนและสัตว์ได้ เป็นน้ำยาออแกนิค ดังนั้น น้ำยาหลังจากใช้เสร็จแล้วสามารถทิ้งลงระบบไบโอแก๊สได้ทันที ซึ่งประเมินค่น้ำยาไว้ที่ 3-5 พันบาทต่อหลัง แล้วแต่ขนาดของโรงเรือนซึ่งเป็นตัวเลขที่ยอมรับได้“ระบบฟอกกลิ่นแนะนำให้ทำในหลังที่มีกลิ่นมาก เช่น โรงเรือนคลอดและอนุบาล ตัวระบบวันนี้ หากเต็มระบบเชื่อว่า เก็บกลิ่นได้มากกว่า 90% โดยวัดด้วยเครื่องมือวัดกลิ่น สามารถลดค่ากลิ่นจาก  77 ลงมาได้เหลือเพียง 0-1 ถือว่า เป็นที่น่าพอใจมาก และเจ้าของฟาร์มก็พอใจกับระบบนี้ค่อนข้างมาก” น.สพ.ทศพร กล่าว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related News