ทุกวันที่ 5 มิถุนายน โลกทั้งใบพร้อมใจกันหยุดคิด—ถึงธรรมชาติ ถึงสิ่งแวดล้อม และถึงสิ่งที่เราทำทุกวันซึ่งอาจกำลังย้อนกลับมาทำร้ายโลกใบนี้ นี่คือ “วันสิ่งแวดล้อมโลก” วันที่องค์การสหประชาชาติขอให้ทุกภาคส่วนหันมาทบทวนว่าเราใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบแค่ไหน

สำหรับประเทศไทย หนึ่งในฟันเฟืองเศรษฐกิจที่อาจดู ‘ห่างไกล’ จากคำว่าสีเขียวมากที่สุด ก็คือ “ภาคปศุสัตว์”—ฟาร์มสุกร ฟาร์มโคนม โคเนื้อ ไก่เนื้อ ที่เรากินกันทุกวัน แต่เบื้องหลังนั้นอาจทิ้งรอยเท้าคาร์บอนและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมไว้มากมาย

ภาคปศุสัตว์ไทยสร้างรายได้มหาศาล สร้างงานจำนวนมาก แต่ก็เป็นเป้าของเสียงวิจารณ์ที่ดังขึ้นทุกปี โดยเฉพาะ 5 มิติที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด:

1. การใช้ที่ดินและการบุกรุกป่า ฟาร์มไม่ได้อยู่แค่ในรั้ว แต่ยังขยายอิทธิพลไปถึงภูเขาและป่าไม้ ผ่านการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง และมันสำปะหลัง พื้นที่ป่าหลายแสนไร่ในภาคเหนือกลายเป็นไร่ข้าวโพด ส่งผลให้เกิดดินถล่ม หมอกควัน ไฟป่า และภัยแล้งแบบซ้ำซาก ตัวอย่าง: จังหวัดน่าน-พะเยา ถูกวิจัยพบว่า มีการแปลงป่ามหาศาลเป็นไร่ข้าวโพดเพื่อส่งเข้าโรงงานอาหารสัตว์ ขณะที่สารเคมีจากไร่เหล่านี้ไหลลงแม่น้ำ ทำลายสุขภาพชุมชนอย่างเงียบ ๆ

2. การปล่อยก๊าซเรือนกระจก สัตว์เคี้ยวเอื้องอย่างวัวควาย ปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งร้ายแรงต่อสภาพอากาศกว่าก๊าซ CO2 หลายสิบเท่า แถมของเสียในฟาร์มยังปล่อยไนตรัสออกไซด์อีกด้วย FAO เผยว่า ฟาร์มปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 30 ล้านตัน CO2e/ปี โดยเฉพาะโคนมในภาคกลาง โคเนื้อในภาคอีสาน และการขนส่งอาหารสัตว์ที่ใช้พลังงานฟอสซิลจำนวนมาก

3. มลพิษทางน้ำ น้ำเสียจากโรงเรือน หากไม่มีการบำบัด กลายเป็นภัยเงียบที่ซึมสู่คลอง แม่น้ำ และน้ำดื่มของชาวบ้าน สารอินทรีย์ แอมโมเนีย ไนโตรเจนสะสม สุดท้ายทำให้ระบบนิเวศป่วยหนัก ดังเช่น ปัญหาแหล่งน้ำสาธารณะในบางแห่ง ที่ถูกร้องเรียนจากชาวบ้านหลังพบว่า มีการปล่อยน้ำเสียมาจากฟาร์มปศุสัตว์

4. มลพิษทางอากาศและฝุ่น PM2.5 จากตอซังข้าวโพดที่ถูกเผา ไปจนถึงมลพิษทางอากาศจากฟาร์ม คือ เรื่องจริงที่คนรอบข้างต้องเผชิญทุกวัน การเผาตอซังในภาคเหนือ คือหนึ่งในตัวการ PM2.5 ตัวฉกาจ ขณะที่กลิ่นจากฟาร์มในบางพื้นที่ก็ทำให้ชุมชนข้างเคียงต้องรับกับผลกระทบ

Brown chickens, hens in farm.

5. การใช้ยาปฏิชีวนะและการเกิดเชื้อดื้อยา การใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์ม หากไม่ควบคุม เสี่ยงก่อเชื้อดื้อยา (AMR) ที่ไม่ใช่แค่ปัญหาสัตว์ป่วย แต่กลายเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก WHO เตือนอย่างชัดเจน และในไทยก็พบสารตกค้างเกินมาตรฐานในบางฟาร์ม รวมถึงพบเชื้อดื้อยาในแม่น้ำลำคลองใกล้แหล่งเลี้ยงสัตว์ในวันที่ตลาดโลกไม่ต้องการแค่เนื้อหมู เนื้อวัวราคาถูก แต่ต้องการสินค้าที่มาพร้อมจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ภาคปศุสัตว์ไทยต้องปรับตัวแบบไม่มีข้อยกเว้น ฟาร์มรายเล็ก รายใหญ่ต้องเริ่มมองว่า ‘สิ่งแวดล้อม’ ไม่ใช่ต้นทุน แต่คือเงื่อนไขการอยู่รอดในโลกยุคใหม่ การเพิกเฉยต่อสิ่งแวดล้อม อาจทำให้ถูกคัดออกจากตลาดโลก และแม้แต่ผู้บริโภคไทยก็เริ่มตั้งคำถามถึงที่มาของอาหารมากขึ้น

เปลี่ยนฟาร์มให้เขียว เปลี่ยนอนาคตให้ยั่งยืน

ไม่ใช่แค่เสียงวิจารณ์เท่านั้นที่เพิ่มขึ้น แต่ ‘การลงมือทำ’ ก็เริ่มเกิดขึ้นจริงในหลายพื้นที่:

  • บริษัทเนื้อไก่รายใหญ่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ บำบัดน้ำเสียอย่างมืออาชีพ
  • โครงการ “โคเนื้อลดโลกร้อน” ปรับสูตรอาหารให้วัวเรอะแต่ปล่อยก๊าซน้อยลง
  • ฟาร์มทางเหนือหันหลังให้การเผา ปลูกพืชหมุนเวียน และทำงานร่วมกับชุมชน
  • มาตรฐาน GAP, Animal Welfare และ Carbon Neutral เริ่มถูกนำมาใช้จริง
  • มหาวิทยาลัยไทยพัฒนาเทคโนโลยีฟาร์มอัจฉริยะและจุลินทรีย์บำบัดของเสีย

สรุปแบบไม่อ้อมค้อม

ภาคปศุสัตว์ไทยไม่ใช่ศัตรูของสิ่งแวดล้อม—หากเลือกจะเดินเส้นทางใหม่ ที่ทั้งเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงคน และเลี้ยงโลกไปพร้อมกัน

วันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ อาจถึงเวลาที่เราทุกคนต้องถามว่า:

อาหารในจานของเรามาจากฟาร์มที่ดูแลโลก หรือฟาร์มที่ทำร้ายโลก?

และเราจะเลือกสนับสนุนแบบไหน

เพราะ “โลก” ไม่ได้เป็นของภาคใดภาคหนึ่ง—มันเป็นของเราทุกคน 🌍

โดย วิชญ์ เจริญคุณทรัพย์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related News