ไทยลุ้นส่งออกไก่พุ่ง! หลังบราซิลเจอไข้หวัดนก กรมปศุสัตว์ย้ำมาตรฐานระบบป้องกันโรค

ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์รุนแรง (Highly Pathogenic Avian Influenza – HPAI) ที่เกิดขึ้นในประเทศบราซิล ผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ที่สุดของโลก แรงสั่นสะเทือนทางการค้าครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ซึ่งกำลังเปลี่ยนถ่ายโอกาสมายังผู้เล่นรายใหญ่อีกรายหนึ่งอย่างประเทศไทย
ข้อมูลล่าสุดจากสมาคมผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ของบราซิลระบุว่า ในปีที่ผ่านมา จีนและสหภาพยุโรปนำเข้าเนื้อไก่จากบราซิลรวมกันกว่า 793,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 15% ของปริมาณการส่งออกเนื้อไก่ทั้งหมดของประเทศ สถานการณ์ที่จีนและ EU สั่งระงับการนำเข้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์จากบราซิลในทันที จึงไม่ใช่เพียงวิกฤติสำหรับบราซิลเท่านั้น แต่ยังเป็น “หน้าต่างแห่งโอกาส” สำหรับประเทศที่สามารถรักษาความปลอดภัยด้านสุขภาพสัตว์ได้อย่างเข้มงวด

ประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกที่มีระบบป้องกันโรคเข้มแข็ง
นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ประเทศไทยเคยประสบกับการระบาดของโรคไข้หวัดนกเพียงครั้งเดียวเมื่อกว่า 10 ปีก่อน และไม่พบการระบาดซ้ำอีกเลยนับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ปัจจัยที่ทำให้ไทยรักษาสถานะปลอดโรคได้ต่อเนื่อง คือระบบป้องกันและควบคุมโรคที่ออกแบบมาอย่างครอบคลุมและเข้มงวด ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล
“ระบบป้องกันโรคของไทยมีความเข้มแข็งตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทั้งในแง่การผลิต การขนส่ง และการแปรรูป โดยเฉพาะการดำเนินงานตามหลัก One Health ที่บูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ประเทศคงสถานะปลอดโรคได้ยาวนาน” อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าว
มาตรการที่ทำให้โลกเชื่อมั่นไทย
เพื่อรักษาสถานะปลอดโรคและเสริมศักยภาพการส่งออกในช่วงที่ตลาดโลกกำลังมองหาทางเลือกแทนบราซิล กรมปศุสัตว์ได้ย้ำความสำคัญของมาตรการควบคุมโรค 5 ประการหลัก ได้แก่
- ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity): ควบคุมการเข้า-ออกฟาร์มของบุคคลและยานพาหนะอย่างเข้มงวด พร้อมมีการล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อทุกครั้ง รวมถึงการห้ามนำสัตว์ปีกหรือผลิตภัณฑ์จากพื้นที่เสี่ยงเข้าฟาร์มอย่างเด็ดขาด
- ระบบคอมพาร์ทเม้นท์ (Compartment System): ใช้ระบบฟาร์มปิดตามมาตรฐานองค์การสุขภาพสัตว์โลก (WOAH) ครอบคลุมตั้งแต่โรงงานอาหารสัตว์ถึงโรงงานแปรรูป โดยมีการติดตามสุขภาพสัตว์อย่างใกล้ชิด
- การเฝ้าระวังโรคทั้งเชิงรุกและเชิงรับ: ตรวจสอบสุขภาพสัตว์ปีกอย่างสม่ำเสมอ พร้อมส่งเสริมการอบรมเกษตรกรเกี่ยวกับแนวทางป้องกันโรค
- การควบคุมการเคลื่อนย้าย: มีการตรวจสอบการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกอย่างเข้มงวด พร้อมระงับการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์จากประเทศที่มีการระบาดทันที
- การทำลายสัตว์ปีกกรณีสงสัยติดเชื้อ: หากพบสัตว์ป่วยหรือตายผิดปกติในพื้นที่เสี่ยงจะมีมาตรการทำลายและควบคุมโรคตามแนวทางที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
ด้วยระบบเหล่านี้ ประเทศไทยไม่เพียงแต่สามารถรักษาความเชื่อมั่นของตลาดเดิมอย่างญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร หรือเกาหลีใต้ได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสขยายตลาดใหม่ๆ ที่กำลังเผชิญแรงกระแทกจากการขาดแคลนซัพพลายไก่จากบราซิล