เมื่อ “ไข่ไก่ฟองละ 3 บาท” สะเทือนใจทั้งวงการเสียงสะท้อนจากเกษตรกรรายย่อยถึงวิกฤตราคาที่ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข

ตลาดไข่ไก่ทั่วประเทศเหมือนถูกหยุดเวลา เพราะช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 เมื่อราคาไข่หน้าฟาร์มลดต่ำแตะ “ฟองละ 3 บาท” ตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี ทั้งที่ต้นทุนอาหารสัตว์ พลังงาน และค่าขนส่งยังไม่ยอมลดตาม ทำให้เกษตรกรรายย่อยหลายพื้นที่เริ่มขาดทุนสะสม จนบางรายต้องชั่งใจว่าจะเลี้ยงต่อหรือพอแค่นี้

เบื้องหลังราคาที่ตกต่ำ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตลาดซบชั่วคราวเท่านั้น แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่หมักหมมมานาน ทั้งระบบพ่อแม่พันธุ์ที่ไม่สมดุล กลไกตลาดที่อ่อนไหว และความเปราะบางของเกษตรกรรายย่อยที่ต้องพึ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลัก

ภาคใต้: เสียงจากแหล่งผลิตที่กำลังยื้อชีวิตฟาร์ม

ภาคใต้คือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยเฉพาะนครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเคยส่งไข่ขึ้นภาคกลางได้สม่ำเสมอ แต่ปีนี้กลับติดปัญหาค่าขนส่งสูง และตลาดปลายทางอิ่มตัว
สุเทพ สุวรรณรัตน์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคใต้ เล่าว่า ภายในเวลาเพียง 20 วัน ราคาปรับลดถึง 3 ครั้ง เหลือฟองละ 3 บาท ขณะที่ต้นทุนจริงเกิน 3.20 บาทไปแล้ว “ถ้ายังเป็นแบบนี้อีกไม่กี่เดือน ฟาร์มรายย่อยอาจต้องปิดตัวถาวร” เขากล่าวอย่างไม่ปิดความกังวล

เกษตรกรบางรายพยายามหาทางระบายไข่ผ่านตลาดชุมชนหรือรถไข่เคลื่อนที่ แต่กำลังซื้อในพื้นที่กลับซบเซา หลังฤดูกาลท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาน้อยกว่าคาดถึง 30% ร้านอาหารและโรงแรมลดการสั่งซื้อ ขณะที่ไข่จากฟาร์มใหญ่ภาคกลางก็เข้ามาแข่งขันในพื้นที่ ทำให้ราคายิ่งร่วงต่ำกว่า 3 บาทในบางแห่ง

ภาคกลาง: ฐานการผลิตใหญ่ที่กำลังเริ่มสั่น

ฐานการผลิตหลักของประเทศอย่างภาคกลางก็ไม่รอดเช่นกัน พเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง อธิบายว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงต้นพฤศจิกายน ราคาไข่คละหน้าฟาร์มลดเหลือเพียง 3 บาทต่อฟอง เพราะกำลังซื้อภายในประเทศลดลง เศรษฐกิจชะลอ โรงเรียนปิดเทอม เทศกาลกินเจ และนักท่องเที่ยวลดลง รวมถึงการส่งออกแม่ไก่ปลดที่ชะงักจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา

“ราคาต่ำทำให้เกษตรกรไม่กล้าปลดแม่ไก่ตามเกณฑ์ เพราะขายขาดทุน จึงต้องเลี้ยงต่อจนเกินอายุ เสี่ยงไข่ล้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” พเยาว์อธิบาย พร้อมเตือนให้รัฐพิจารณาการเพิ่มโควตานำเข้าพ่อแม่พันธุ์ปี 2569 อย่างรอบคอบ และเร่งเสริมมาตรการ Biosecurity เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากโรคระบาดในฟาร์ม

ภาคเหนือ: เมื่อไฮซีซันท่องเที่ยวกลับมาช่วยไม่ทัน

พื้นที่อย่างเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และพะเยา ปกติแล้วจะคึกคักในช่วงไฮซีซันท่องเที่ยวปลายปี ยอดขายไข่ไก่เพิ่มขึ้น 20–30% แต่ปีนี้กลับเงียบผิดปกติ ฝนตกยาว นักท่องเที่ยวน้อย ร้านอาหารและโรงแรมลดออเดอร์อย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันต้นทุนขนส่งจากพื้นที่ภูเขาเพิ่มขึ้น ทำให้หลายฟาร์มขายในท้องถิ่นแทน แต่ราคากลับต่ำกว่าอีก

“ต้นทุนต่อฟองเกิน 3 บาท แต่ขายไม่ถึง 3 บาท ก็เหมือนทำไปเพื่อรักษาฟาร์มไว้เฉยๆ” เกษตรกรรายหนึ่งในเชียงใหม่บอกอย่างปลงๆ

ภาคอีสาน: รายย่อยเริ่มทยอยถอย

ภาคอีสานอย่างนครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานี ส่วนใหญ่เป็นฟาร์มรายย่อยที่ต้องอาศัยรายได้จากไข่รายวัน แต่เมื่อราคาขายต่ำกว่าต้นทุน หลายรายเริ่มลดจำนวนแม่ไก่หรือเร่งปลดไก่ แม้ต้องขาดทุน เพราะไม่มีทางเลือก หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นภายในสิ้นปี ฟาร์มรายย่อยอาจหายไปถึง 15–20% โดยเฉพาะรายที่ไม่มีกลุ่มสหกรณ์ช่วยลดต้นทุนร่วมกัน

ทางรอดที่ต้องเริ่มวันนี้

ปัญหา “ไข่ล้น–ราคาร่วง” ครั้งนี้เกิดจากหลายปัจจัยทับซ้อน ทั้งระบบควบคุมแม่ไก่ที่ไม่สมดุล ความต้องการบริโภคลดลง การส่งออกสะดุด และการขาดกลไกดูดซับผลผลิตส่วนเกินเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูป

แนวทางเร่งด่วน คือ การปลดแม่ไก่เกินอายุออกจากระบบ การสนับสนุนค่าขนส่งเพื่อกระจายไข่ส่วนเกิน และการส่งเสริมให้คนไทยบริโภคไข่มากขึ้น ส่วนระยะยาว ต้องเร่งพัฒนาฐานข้อมูลการผลิตและตลาดแบบเรียลไทม์ เพื่อให้คณะกรรมการไข่ไก่บริหารจำนวนแม่ไก่ได้แม่นยำ และยกระดับฟาร์มรายย่อยให้ได้มาตรฐาน GAP ลดความเหลื่อมล้ำด้านต้นทุน

เพราะสุดท้าย “ฟองละ 3 บาท” อาจไม่ใช่แค่ราคาตลาด แต่คือเสียงเตือนของเกษตรกรตัวเล็กๆ ที่ยังยืนหยัดผลิตอาหารให้ประเทศ รากฐานของความมั่นคงทางอาหารที่ต้องไม่ถูกปล่อยให้สั่นคลอนอีกต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related News