เมื่อปลาหมอมายัน-บัตเตอร์ กำลังกลืนสายน้ำไทย

วันนี้ “ปลาหมอคางดำ” เป็นที่รู้จัก จากการเป็นปลาต่างถิ่นรุกรานแหล่ง แต่ยังมีสิ่งที่น่ากังวลไม่ต่างกัน กับสัตว์ต่างถิ่นที่กำลังรุกรานและกลื่นกินสัตว์น้ำท้องถิ่นของไทยไม่ต่างกัน คือ “ปลาหมอมายัน” และ “ปลาหมอบัตเตอร์” แต่น่าแปลกที่ทั้งภาครัฐ และนักเคลื่อนไหวแทบไม่ถูกกล่าวถึงเลย
เมื่อย้อนดูประวัติ “ปลาหมอมายัน” พบว่ามีถิ่นกำเนิดในลุ่มน้ำแอตแลนติกตอนกลางของอเมริกากลาง เช่น เม็กซิโก เบลีซ และฮอนดูรัส เป็นปลาขนาดกลาง ที่หากินได้ทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย มีนิสัยหวงถิ่น กินลูกปลา และสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร จึงไม่แปลกใจที่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อระบบนิเวศได้อย่างใหญ่หลวง
กรมประมง มีรายงานการพบปลาหมอมายันในหลายจังหวัดพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ อาทิ สมุทรสงคราม นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยเฉพาะในแหล่งน้ำที่เชื่อมต่อไปยังทะเลได้
แม้จะไม่ชัดเจนว่าปลาชนิดนี้เข้ามาในไทยได้อย่างไร แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าเกิดจากการลักลอบนำเข้ามาเลี้ยงในระบบปลาสวยงาม หรือหลุดจากฟาร์มเพาะเลี้ยงทดลอง เนื่องจากไม่มีข้อมูลการขออนุญาตนำเข้าตามระบบของกรมประมง พูดง่ายๆคือมันไม่เคยมีอยู่ในบัญชี “ปลานำเข้าอย่างถูกต้อง” แต่กลับพบในแหล่งน้ำธรรมชาติของไทย
ส่วน “ปลาหมอบัตเตอร์” ที่มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตก แต่กลับพบการระบาดในหลายแหล่งน้ำของไทย โดยเฉพาะ เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ และ เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี

กรมประมง ระบุว่า ปลาชนิดนี้มีนิสัยดุร้าย กินได้ทุกอย่าง ทั้งไข่ปลา ลูกปลา และสัตว์น้ำขนาดเล็ก ทำให้จำนวนปลาพื้นถิ่นหลายชนิดลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ปลาแรดและปลากราย
แหล่งข่าวในพื้นที่ให้ข้อมูลว่าการระบาดอาจมีต้นทางจากกระชังเลี้ยงปลา ที่มีผู้นำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต บางรายอ้างว่า “เลี้ยงเพื่อขายเป็นปลาสวยงาม” ก่อนที่จะหลุดออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
ถึงแม้ปลาหมอบัตเตอร์ จะอยู่ในรายชื่อ “สัตว์น้ำห้ามนำเข้า ส่งออก เพาะเลี้ยง” ตามกฎกระทรวงปี 2561 แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีการบังคับที่เข้มแข็งเพียงพอ ทุกวันนี้จึงยังคงมีรายงานการจับปลานี้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ระบบควบคุมสัตว์น้ำต่างถิ่นของไทยยังมีช่องว่าง ทั้งในด้านการตรวจสอบ การอนุญาต และการกำกับการเพาะเลี้ยงจริงในพื้นที่
หากเทียบกรณีปลาหมอคางดำกับปลาทั้ง 2 ชนิดนี้ ยิ่งชัดเจนว่า ปลาหมอบัตเตอร์และปลาหมอมายัน ถูกปล่อยให้ดำเนินไปโดยไม่มีใครตั้งคำถาม ทั้งที่มีลักษณะ “รุกราน” ไม่ต่างกัน ทั้งความสามารถในการปรับตัวสูง แพร่พันธุ์รวดเร็ว และกินได้แทบทุกอย่าง ต่างกับหมอคางดำที่มีรายงานและการติดตามตรวจสอบจนเป็นประเด็นในสังคม
กลายเป็นข้อสงสัยว่า เหตุใดการลักลอบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำห้ามนำเข้า จึงยังเกิดขึ้นซ้ำๆ ทั้งที่มีบทลงโทษชัดเจน และมีคำถามว่า ภาครัฐมีระบบตรวจสอบจริงจังเพียงใดต่อ “โครงการที่ได้รับอนุญาต” หรือการ “ส่งออกสัตว์น้ำห้ามเพาะเลี้ยง” ทำไมกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เคลื่อนไหว จึงไม่สนใจตามหาต้นตอของปลา 2 ชนิดนี้ กลับพุ่งเป้าไปที่ปลาหมอคางดำจนน่าสงสัย
หากยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนต่อข้อคำถามนี้ ปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นในไทยย่อมไม่มีที่สิ้นสุด เพราะยังมองไม่เห็นภาพรวมของระบบควบคุมทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นทาง คือ การลักลอบนำเข้า กลางทาง หรือ การเพาะเลี้ยง จนถึงปลายทาง คือ การส่งออกหรือหลุดสู่ธรรมชาติ
ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายควรหันมามองให้รอบด้าน ร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปักหมุดปัญหาเพียงปลาหมอคางดำ เพราะหากไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง “ภัยเงียบ” จากปลาทั้ง 2 ชนิด ย่อมกลืนกินปลาพื้นถิ่นในสายน้ำไทย จนกลายเป็นความสูญเสียของระบบนิเวศน้ำไทยที่ยากจะฟื้นคืน