SLAPP ฟ้องเพื่อหาความจริง หรือปิดกั้นเสียงสาธารณะ ?

               ในสังคมประชาธิปไตย การแสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะถือเป็น “กลไกการตรวจสอบ” ที่สำคัญ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกคือ เมื่อการแสดงความคิดเห็นเหล่านี้กระทบต่อผู้มีอำนาจหรือบริษัทขนาดใหญ่ ฝ่ายที่ถูกตรวจสอบกลับเลือกใช้ “กฎหมาย” เป็นเครื่องมือกดดัน ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ความจริง แต่เพื่อสร้าง “ต้นทุน” ให้ผู้แสดงความคิดเห็นต้องเหน็ดเหนื่อย เสียเวลา และเสียเงินทองในการต่อสู้คดี

               ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) หรือ การฟ้องร้องเชิงกลยุทธ์เพื่อปิดปากสาธารณะ เพราะจุดประสงค์ไม่ใช่การชนะคดี แต่เพื่อทำให้ผู้ถูกฟ้อง “ยอมเงียบ” โดยมักฟ้องด้วยข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายมหาศาล และคู่กรณีมักเป็น “ฝ่ายใหญ่” เช่น บริษัท, นักการเมือง, หน่วยงานรัฐ กับ “ฝ่ายเล็ก” อย่างชาวบ้าน, นักข่าว, NGO

               แต่ในทางวิชาการ นักนิติศาสตร์บางท่านอธิบายว่า SLAPP คือ การบิดเบือนสิทธิในการฟ้องร้อง” เพราะสิทธิในการฟ้องเป็นสิทธิชอบธรรมตามกฎหมาย แต่เมื่อถูกนำมาใช้เพื่อ “ทำลายสมดุลการมีส่วนร่วมของประชาชน” สิทธินั้นกลับกลายเป็นเครื่องมือกดทับเสรีภาพ

ตัวอย่างคดีที่เข้าข่าย SLAPP

1. บริษัทพลังงาน vs Greenpeace (สหรัฐฯ)

            บริบท: ในปี 2016 บริษัทพลังงาน Resolute Forest Products ฟ้อง Greenpeace และองค์กรสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ฐานเผยแพร่ข้อมูลเรื่องการทำลายป่าในแคนาดา

            ข้อกล่าวหา: บริษัทกล่าวว่า Greenpeace บิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและธุรกิจ

            การฟ้องร้อง: บริษัทเรียกค่าเสียหายกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

            คำวินิจฉัย/ผล: ศาลสหรัฐฯ เห็นว่าบริษัทใช้กระบวนการฟ้องร้องเชิงกลยุทธ์เพื่อกดดันให้ NGO หยุดรณรงค์ ถือเป็น SLAPP ชัดเจน เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นความเห็นเชิงวิชาการและเพื่อประโยชน์สาธารณะ

2. เหมืองทองคำ vs ชาวบ้าน (ไทย)

            บริบท: ระหว่างปี 2556–2562 ชาวบ้านในจังหวัดเลยและพิจิตร ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากเหมืองทองคำ เช่น การตรวจพบโลหะหนักในน้ำและดิน

            ข้อกล่าวหา: บริษัทเหมืองฟ้องชาวบ้าน นักวิชาการ และสื่อมวลชน ฐานหมิ่นประมาทและทำให้เสียชื่อเสียง

            การฟ้องร้อง: มีการยื่นฟ้องมากกว่า 20 คดี เรียกค่าเสียหายรวมหลายร้อยล้านบาท

            คำวินิจฉัย/ผล: หลายคดีศาลยกฟ้อง โดยเห็นว่าข้อมูลที่เผยแพร่เป็นการใช้สิทธิของประชาชนเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ จัดเป็น ตัวอย่าง SLAPP ที่สะท้อนปัญหาไทยอย่างชัดเจน

3. นักข่าวสิ่งแวดล้อม vs นักการเมืองท้องถิ่น (ฟิลิปปินส์)

            บริบท: นักข่าว Maria Ressa และสำนักข่าว Rappler รายงานการทุจริตและการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลฟิลิปปินส์ รวมถึงกรณีการบุกรุกพื้นที่ป่าโดยนักการเมืองท้องถิ่น

            ข้อกล่าวหา: ถูกฟ้องหมิ่นประมาทและละเมิดกฎหมายไซเบอร์หลายสิบคดี

            การฟ้องร้อง: มีทั้งคดีแพ่งและอาญา รวมแล้วมากกว่า 10 คดีในเวลาใกล้เคียงกัน

            คำวินิจฉัย/ผล: องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลยืนยันว่าคดีจำนวนมากเข้าข่าย SLAPP เพราะเจตนาคือกดดันนักข่าวและสื่อให้หยุดรายงาน กรณีนี้ได้รับความสนใจจาก UN และสื่อโลก

ตัวอย่างคดีที่ ไม่ใช่ SLAPP

            1. NGO เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน (ยุโรป)

            บริบท: NGO ในฝรั่งเศสเผยแพร่รายงานกล่าวหาบริษัทอาหารรายใหญ่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานเด็กในห่วงโซ่อุปทาน

            ข้อกล่าวหา: รายงานไม่สามารถพิสูจน์ได้ และหลายส่วนถูกพบว่าบิดเบือนข้อเท็จจริง

            การฟ้องร้อง: บริษัทฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก NGO ฐานหมิ่นประมาท

            คำวินิจฉัย/ผล: ศาลตัดสินว่าบริษัทมีสิทธิปกป้องชื่อเสียง เนื่องจากข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริง   จึงไม่ใช่ SLAPP แต่เป็นการฟ้องเพื่อความยุติธรรม

2. นักกิจกรรม vs นักการเมือง (ไทย)

            บริบท: นักกิจกรรมท้องถิ่นกล่าวหานักการเมืองระดับชาติว่าพัวพันการทุจริตโครงการสาธารณะ โดยไม่มีเอกสารหรือหลักฐานยืนยันชัดเจน

            ข้อกล่าวหา: การแถลงข่าวของนักกิจกรรมสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงนักการเมือง

            การฟ้องร้อง: นักการเมืองฟ้องหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายตามสมควร

            คำวินิจฉัย/ผล: ศาลเห็นว่าการฟ้องครั้งนี้มีเหตุผลและอยู่บนสิทธิของผู้เสียหาย  จึงไม่ใช่ SLAPP

3. สำนักข่าวฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ (สหรัฐฯ)

            บริบท: ผู้ใช้ออนไลน์นำบทความเต็มจากสำนักข่าวไปเผยแพร่บนเพจโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วอ้างว่าเป็นการใช้เสรีภาพสาธารณะ

            ข้อกล่าวหา: การกระทำดังกล่าวละเมิดลิขสิทธิ์และทำให้สำนักข่าวสูญเสียรายได้

            การฟ้องร้อง: สำนักข่าวยื่นฟ้องคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

            คำวินิจฉัย/ผล: ศาลตัดสินว่าสำนักข่าวมีสิทธิคุ้มครองลิขสิทธิ์ ไม่ใช่การปิดปากการแสดงความคิดเห็น จึง ไม่ใช่ SLAPP สิ่งที่ทำให้สับสนคือ “ไม่ใช่ทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นจะเป็น SLAPP”

               หลักกฎหมายสากลจึงเสนอเกณฑ์พิจารณาที่สำคัญ เช่น เจตนาของผู้ฟ้อง ถ้าฟ้องเพื่อพิสูจน์ความจริง ไม่ใช่ SLAPP / ถ้าฟ้องเพื่อกดดันหรือทำให้เงียบ เท่ากับเป็น SLAPP สัดส่วนของค่าเสียหาย ถ้าเรียกเกินจริงจนผู้ถูกฟ้องไม่สามารถต่อสู้ มักเป็น SLAPP และประเด็นสาธารณะ ถ้าความเห็นเกี่ยวข้องกับประโยชน์ส่วนรวม เช่น สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน มักต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังว่าคดีนั้นคือ SLAPP หรือไม่

               ในยุโรปและแคนาดา มีการพัฒนา กฎหมายต้าน SLAPP” (Anti-SLAPP laws) เพื่อเปิดช่องให้ศาลยกฟ้องตั้งแต่ต้น หากพบว่าคดีมีเจตนากลั่นแกล้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องแบกรับภาระโดยไม่จำเป็น

            คดีตัวอย่างที่กล่าวมาชี้ให้เห็นว่า เส้นแบ่งของ SLAPP อยู่ที่เจตนาและผลกระทบที่เกิดขึ้น หากการฟ้องร้องมุ่งทำให้ผู้คนหยุดตรวจสอบ หยุดวิพากษ์วิจารณ์ และสร้างความกลัวในสังคม นั่นคือ SLAPP แต่หากการฟ้องร้องเกิดขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิที่ถูกละเมิดอย่างแท้จริง นั่นคือการใช้สิทธิทางกฎหมายโดยสุจริต

               ในเชิงวิชาการ SLAPP ถูกมองว่าเป็น ภัยเงียบต่อประชาธิปไตย” เพราะไม่ได้ทำลายเสรีภาพด้วยกำลัง แต่ใช้ “กระบวนการทางกฎหมาย” มาบั่นทอนกำลังใจของประชาชน ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงต่อผู้ถูกฟ้อง แต่ยังสร้าง “บรรยากาศแห่งความกลัว” ที่ทำให้สังคมไม่กล้าแสดงความเห็น ดังนั้น ก้าวสำคัญของไทยคือการสร้าง กลไกป้องกันคดี SLAPP ไม่ว่าจะผ่านการแก้ไขกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม หรือการสนับสนุนทางสังคม เพื่อให้กฎหมายยังคงเป็น เกราะปกป้องสิทธิและความจริง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *