SLAPP ในประเทศไทย: ปกป้องสิทธิหรือกลั่นแกล้ง?

สังคมที่เปิดกว้างในปัจจุบัน การแสดงความคิดเห็นจึงกลายเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบอำนาจ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกจึงถูกจับตามองมากขึ้น … กฎหมาย SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) กลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่สะท้อนความซับซ้อนนี้
SLAPP เป็นการฟ้องร้องเชิงกลยุทธ์ ที่ไม่ได้มุ่งหวังชนะคดี หากแต่ตั้งขึ้นเพื่อปิดปาก หรือ ข่มขู่บุคคลหรือกลุ่มที่ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะ อาทิ การประท้วง การวิพากษ์วิจารณ์ หรือการเปิดโปงการกระทำที่ผิดกฎหมายขององค์กรหรือบริษัทเอกชน มีเป้าหมายในการสร้างแรงกดดัน ทำให้คู่กรณีเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และท้อถอย จนยุติการเคลื่อนไหวหรือการวิพากษ์วิจารณ์ไปในที่สุด
สรุปคดี SLAPP คือ “คดีฟ้องร้องที่ตั้งขึ้นเพื่อปิดปากประชาชนไม่ให้แสดงความคิดเห็นหรือมีส่วนร่วมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ”
สำหรับประเทศไทย ยังไม่มีกรอบกฎหมายเฉพาะ ที่รับรองหรือคุ้มครองในลักษณะ SLAPP โดยตรง คดีที่อาจเข้าข่าย SLAPP ยังอยู่ภายใต้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายหมิ่นประมาทและสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่ยังขาดมาตรการที่ชัดเจนในการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งสร้างความท้าทายต่อการรักษาสมดุลระหว่าง สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น กับ การปกป้องชื่อเสียงและสิทธิของบุคคลหรือองค์กร
การวินิจฉัยว่าเป็น SLAPP หรือไม่ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาหลายมิติร่วมกัน โดยเฉพาะ “เจตนาการฟ้องร้อง” ได้แก่
- เจตนาข่มขู่หรือกลั่นแกล้ง : คดี SLAPP มักเกิดจากการฟ้องโดยองค์กรขนาดใหญ่ เช่น บริษัทข้ามชาติหรือหน่วยงานรัฐต่อบุคคล กลุ่มสิทธิ หรือองค์กรภาคประชาสังคม โดยเน้นสร้างภาระทางกฎหมายและการเงิน เพื่อให้ฝ่ายถูกฟ้องท้อถอย
- ข้อเท็จจริงและหลักฐาน : หากฝ่ายถูกฟ้องเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน และทำให้เกิดความเสียหาย การฟ้องร้องถือเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายที่ชอบธรรม ไม่ใช่ SLAPP รวมถึงการฟ้องร้องด้วยเจตนาที่ชอบธรรม เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หมิ่นประมาท หรือทำสัญญาผิดพลาด ที่มีหลักฐานชัดเจน ก็ไม่ถือเป็น SLAPP
- ความเหมาะสมของค่าเสียหาย : คดี SLAPP มักเรียกร้องค่าเสียหายสูงเกินจริง เพื่อสร้างแรงกดดัน ฝ่ายฟ้องที่เรียกร้องค่าชดเชยเหมาะสมและสมเหตุสมผลถือเป็นการฟ้องที่ชอบธรรม อย่างไรก็ตาม แม้การฟ้องร้องบางกรณี อาจดูเหมือนเป็นแรงกดดัน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกกรณีเป็น SLAPP
การกล่าวหาฝ่ายหนึ่งว่า โดน SLAPP โดยไม่มีหลักฐานชัดเจน อาจก่อให้เกิดผลกระทบสำคัญ ทั้งลดทอนความน่าเชื่อถือของผู้กล่าวหา บิดเบือนกระบวนการยุติธรรม ขัดขวางฝ่ายฟ้องจากการใช้สิทธิทางกฎหมาย และยังสร้างความขัดแย้งในสังคม
SLAPP จึงเป็นกฎหมาย ที่มีกรอบความคิดสำคัญในการปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะ แต่การวินิจฉัยว่าใครถูกฟ้องแบบ SLAPP ต้องรอบคอบและมีหลักฐานชัดเจน มิฉะนั้นอาจบั่นทอนทั้งความน่าเชื่อถือของผู้กล่าวหา ระบบยุติธรรม และเสรีภาพของฝ่ายที่ฟ้องร้องอย่างถูกต้อง
เสรีภาพในการแสดงความเห็นต้องสมดุลกับความรับผิดชอบต่อข้อมูลที่เผยแพร่ เพื่อให้การแสดงความคิดเห็นกลายเป็นเครื่องมือส่งเสริมความโปร่งใสและประโยชน์สาธารณะ
มิใช่เครื่องมือทำร้ายหรือบิดเบือนผู้อื่น