วัตถุที่เติมในอาหารสัตว์ ในภาวะต้นทุนการผลิตสูง : ZnO

โดย น.สพ. ยุทธ เทียมสุวรรณ
ผู้จัดการฝ่ายวิชาการ บจก. เซ็นทรัลลิส
หลังการหย่านมลูกสุกร มักพบปัญหาชะงักการเจริญเติบโต หรือที่เรียกกันว่า SET BACK โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 7 วันแรกที่แสนจะวิกฤติ ลูกสุกรจะมีลักษณะซูบซีด ผิวไม่เป็นสีชมพู ดูผอมลง ไม่เต่งตึง เหี่ยว ผิวแห้ง ขนยาวหยาบ โตช้า ไม่สม่ำเสมอ แตกไซส์ หลายตัวป่วยด้วยอาการโรคแทรกซ้อนอื่นๆ มากขึ้น เช่น หอบ ไอ ข้อบวม ชัก อัตราการตายการคัดทิ้งสูงขึ้น ใช้เวลาเลี้ยงนานขึ้น ค่ายาเพิ่มขึ้น อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หาย ปรับตัวกลับเป็นปกติใน 7-10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน และอาการที่สำคัญอีกระบบหนึ่ง มักพบได้บ่อยเกือบทุกเคสนั่นก็คือ กินอาหารลดน้อยลง ถ่ายเหลว ท้องเสีย เสียน้ำหนัก
อย่างที่ทราบกันดีว่าน้ำหนักหย่านมที่ดี จะส่งผลด่อการเจริญเติบโตในช่วงอนุบาล ตลอดไปถึงช่วงขุน น้ำหนักหย่านมที่มากขึ้น 1 กก. อาจให้ผลอัตราการเจริญเติบโตในช่วงอนุบาลที่สูงมากกว่า 30 ก.ต่อวัน อันส่งผลให้น้ำหนักออกจากอนุบาลมากกว่าถึง 2 กก.ต่อตัว ส่งผลให้สุกรขุนขายได้เร็วขึ้น 3-5 วัน อันช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่สิ่งที่กล่าวมาจะเกิดขึ้นได้ยาก หรือไม่ได้เลย หากสุกรมีภาวะ SET BACK แล้วกินอาหารน้อย ถ่ายเหลว ท้องเสีย ยิ่งหากเกิดขึ้นในภาวะที่ต้นทุนการผลิตสุกรสูงจากวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาสูงมาก การลดต้นทุนการผลิตรวมให้ได้มากที่สุด และผลิตสุกรให้เติบโตเร็ว แลกอาหารเป็นเนื้อได้ดี โดยการเอาชนะปัญหาถ่ายเหลว ท้องเสียในช่วงนี้ จึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยได้ดีในภาวะเช่นนี้
อาการถ่ายเหลว ท้องเสีย ในช่วงนี้มีสาเหตุหลักๆ มาจากภาวะเครียด หลังหย่านมก็ไม่มีแม่สุกร ไม่มีน้ำนม ขาดความอบอุ่น รวมถึงเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่อยู่ใหม่ มีการรวมกลุ่ม จัดลำดับสังคมใหม่ ความเครียดส่งผลให้ต้องใช้สารอาหารไปจัดการกับความเครียด แทนที่จะเอาไปใช้เจริญเติบโต ความเครียดทำให้อยากอาหารลดน้อยลง เมื่อกินลดน้อยลง จะส่งผลให้เซลล์ผนังลำไส้ถูกทำลาย การย่อยและดูดซึมลดลง มีการขับไขมัน คาร์โบไฮเดรต และน้ำออกมามากขึ้น ทำให้เกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลวแบบไม่ติดเชื้อ สุกรก็จะโตช้าลง ร่วมกับอีกสาเหตุหลักคือ เปลี่ยนมื้ออาหารให้กินน้อยลง เปลี่ยนอาหารจากน้ำนมมาเป็นอาหารแห้งแข็งกลุ่มธัญพืช ความน่ากินน้อย ไม่เคยชิน ทำให้สุกรกินได้น้อยลง ทั้งสุกรยังผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารกลุ่มนี้ได้น้อยมาก อาหารมักมีโมเลกุลหยาบ ใหญ่ ระคายเคือง ก่อการอักเสบ เซลล์ผนังลำไส้และวิลไลจะถูกทำลาย ดูดซึมได้ลดน้อยลงเช่นกัน ผลก็คล้ายสาเหตุแรก เพิ่มเติมมาคือ สภาพกรดด่างในลำไส้ผิดปกติไป มีอาหารเหลือที่ย่อยไม่ได้ ดูดซึมไม่ได้ กลายมาเป็นอาหารให้จุลชีพก่อโรคเติบโตเพิ่มจำนวนและก่อโรคได้มากขึ้น อีกทั้งหากมีการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่สมเหตุผลในอาหาร ก็ยิ่งทำลายจุลชีพชนิดดีมากขึ้นแทน เกิดสภาวะจุลชีพในทางเดินอาหารไม่สมดุล ผลท้ายสุดคือ กระบวนการอักเสบ ดูดซึมได้น้อย ซ้ำยังดึงน้ำออกมาอีก ทำให้ถ่ายเหลว ท้องเสียติดเชื้อหลังหย่านม และสาเหตุสุดท้ายคือ เป็นช่วงที่ลูกสุกรมีภูมิคุ้มกันที่ได้รับผ่านน้ำนมเหลืองมาจากแม่ ลดน้อยลงจนอาจป้องกันหรือทำลายเชื้อโรคได้ไม่ดี ซึ่งก็รวมถึงเชื้อโรคในทางเดินอาหารด้วยเช่นกัน เสริมร่วมกับความเครียด ภูมิคุ้มกันก็ยิ่งลดต่ำลงเร็วมากขึ้นไปอีก สรุปทั้งสามสาเหตุมักเกิดร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ในทางบวก หรือเสริมกัน ให้เกิดผลลัพธ์สุดท้ายคือ กินอาหารน้อยลง ถ่ายเหลว ท้องเสีย SET BACK นาน เสียหายสูง สุกรโตช้า ท่ามกลางต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทุกด้าน ซ้ำเติมวิกฤตินี้ให้หนักขึ้นไปอีก
วิธีลดต้นทุนการผลิตส่วนอาหารสัตว์ในภาพใหญ่ หรือทางตรงก็มีหลากหลายตั้งแต่ การเลือกใช้วัตถุดิบทางเลือก การทำสูตรโดยสมดุลกรดอะมิโนแทนโปรตีนหยาบ การปรับลดพลังงานหน้าสูตร และ/หรือทดแทนเพิ่มพลังงานจากการเสริมเอนไซม์เช่น NSP-เอนไซม์ การลดฟอสฟอรัสโดยเสริมเอนไซม์ไฟเตส เป็นต้น ส่วนวิธีการลลดต้นทุนการผลิตในส่วนอาหารสัตว์ทางอ้อมก็คือ ทำอย่างไรให้สุกรกินได้ดี ไม่ถ่ายเหลว ไม่ท้องเสีย ดูดซึมนำไปใช้ได้มากที่สุด อันได้แก่ โปรไบโอติกส์ สมุนไพร กรด หรือวัตถุที่เติมในอาหารสัตว์แล้วสามารถช่วยลดการถ่ายเหลว และท้องเสียในสุกร ซึ่งในบทความนี้จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสารเติมแต่งชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide, ZnO)
ซิงค์ (Zn) หรือสังกะสี เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยในการทำงานระบบต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอนไซม์ กระบวนการทางชีวเคมีต่างๆ รวมถึงเมตาบอลิสมหลายระบบของร่างกายเช่น โปรตีนและกรดอะมิโน เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยให้เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำไส้ มีความแข็งแรง ทนทานต่อการถูกทำลายจากจุลชีพก่อโรค เช่น แบคทีเรีย ซิงค์ยังเป็นองค์ประกอบของเอนไซม์ที่ผลิตบริเวณเยื่อเมือกทางเดินอาหาร ป้องกันการสูญเสียน้ำและอิเล็กโทรไลด์ในลำไส้ ช่วยส่งเสริมให้จุลชีพดี (Normal flora) ในทางเดินอาหารเพิ่มจำนวน จับจองพื้นที่ในลำไส้ ทำงานได้ดีตามปกติ และปรับสมดุลยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่เป็นเชื้อก่อโรค โดยตัวซิงค์เองไม่ได้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่มีฤทธิ์ต่อต้านการหลั่งสารพิษจากแบคทีเรีย และสารบางชนิดจากร่างกาย บางทฤษฎีอธิบายว่าซิงค์ออกไซด์อาจไปจับกับตัวรับที่เซลล์ Enterocyte ของลำไส้เล็ก ทำให้เชื้อก่อโรคไม่สามารถยึดเกาะกับ Enterocyte ได้ จึงไม่ก่อให้เกิดโรค หรืออาการป่วย ซิงค์บางชนิดมีรายงานว่าช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวได้ ซิงค์ออกไซด์นิยมนำมาใช้ผสมอาหารสุกร ด้วยอัตราการใช้ประมาณ 2,000-3,000 มก./กก.อาหาร (1,500-4,000 ppm) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังหย่านม เพื่อหวังผลช่วยลดอาการถ่ายเหลว ท้องเสีย และหายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกระบวนการเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรมที่เซลล์ลำไส้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตได้อีกด้วย
งานวิจัยทดลองส่วนใหญ่เป็นไปในแนวทางเดียวกันคือ ซิงค์ออกไซด์ช่วยเพิ่มอัตราการเจริญเติบโต สุกรกลุ่มที่เสริมซิงค์ออกไซด์ จะมีอัตราการเจริญเติบโต (ADG) สูงมากกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้เสริม แสดงดัง Table 1 และตารางที่ 1 ส่วนอัตราการกินได้ต่อวัน (ADFI) นั้นก็ให้ผลไปในแนวทางเดียวกัน แสดงดังตารางที่ 1 และ Table 2 โดยควรเสริมซิงค์ออกไซด์ในอาหารลูกสุกรหลังหย่านม ในอัตรา 2,000-3,500 มก./กก.อาหาร เป็นระยะเวลานาน 21 วัน และหากเสริมด้วยอัตราที่น้อยลง หรือระยะเวลาให้ที่สั้นลง ก็อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพปรับปรุงข้างต้นให้น้อยลงตามไปด้วย



อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ต้องการ หรือคาดหวังจากซิงค์ออกไซด์มากที่สุดคือ ช่วยลดอาการท้องเสีย ท้องร่วง ในสุกรช่วงหลังหย่านม โดยแต่ละการศึกษาอาจมีเกณฑ์การให้คะแนนอุจจาระด้วยตาเปล่า ที่มีหลายระบบให้เลือกใช้ได้แตกต่างกันไปในแต่ละการทดลอง เช่น ระบบคะแนน 5 ลำดับ คือ 1=แข็ง 2=คงรูป 3=อ่อนนิ่ม 4=กึ่งเหลว 5=เป็นน้ำ หรือระบบคิดเป็น % คือ 1-20% =แข็ง 21-40% = คงรูป 41-60% =อ่อนนิ่ม 61-80% =กึ่งเหลว 81-100% =เป็นน้ำ ผลพบว่าการเสริมซิงค์ออกไซด์ในอาหารลูกสุกรหลังหย่านม ในอัตรา 2,000-3,500 มก./กก.อาหาร เป็นระยะเวลานาน 21 วัน จะส่งผลให้คะแนนอุจจาระลดลง แปลผลสอดคล้องได้ว่าสุกรจะมีอาการถ่ายเหลว ท้องเสีย ท้องร่วงลดน้อยลงตามไปด้วย และหากเสริมด้วยอัตราที่น้อยลง หรือระยะเวลาให้ที่สั้นลง ก็อาจส่งผลต่อให้ประสิทธิภาพปรับปรุงข้างต้นน้อยลงตามไปด้วย แสดงดัง Table 3

ยืนยันประสิทธิภาพของซิงค์ออกไซด์ด้วยความสูงของวิลไลในลำไส้เล็กส่วนต่างๆ พบว่ากลุ่มที่เสริมซิงค์ออกไซด์จะมีค่าเฉลี่ยความสูงวิลไลในลำไส้เล็กทั้งส่วนของดูโอดีนัม เจจูนัม และไอเลียม มากกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้เสริม รวมถึงพื้นที่ของเซลล์ดูดซึมในในลำไส้เล็กส่วนต่างๆ ก็มีแนวโน้มมีพื้นที่มากกว่าด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ไม่ได้เป็นผลทางตรงจากซิงค์ออกไซด์ แต่เป็นผลทางอ้อมจากการลดปริมาณแบคทีเรียก่อโรค ลดการอักเสบติดเชื้อ รวมถึงผลจากเอนไซม์บางอย่างที่ช่วยต้านการถูกทำลายของวิลไลและเซลล์ลำไส้
ข้อดีของการใช้ซิงค์ออกไซด์คือ ราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่าย มีรายงานระบุว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโต และอัตราการกินอาหารในสุกรได้ 11% ซึ่งไม่ได้เป็นผลของซิงค์ออกไซด์โดยตรงที่จะทำให้สุกรกินได้มากขึ้น หรือโตดีขึ้นจากสาร หรือปฏิกริยาใดของตัวมันเอง แต่เป็นผลทางอ้อมจากที่ว่า สุกรมีอาการป่วยน้อยกว่า ท้องเสียน้อยกว่า ก็จะมีความอยากอาหารมากขึ้น เมื่อกินมากขึ้น ลำไส้แข็งแรง ก็จะดูดซึมไปใช้ได้มากขึ้น สร้างโปรตีน และเพิ่มจำนวนเซลล์ได้มากกว่า ก็ส่งผลให้เจริญเติบโตได้ดีกว่า และซิงค์ออกไซด์ยังไม่เกี่ยวข้องกับการดื้อยาของเชื้อ โดยมีรายงานพบว่าเชื้อแบคทีเรียจากลำไส้สุกรที่ได้รับซิงค์ออกไซด์นั้น จะดื้อต่อยาปฏิชีวนะน้อยกว่าสุกรกลุ่มที่ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งการเจริญเติบโต (AGP) ที่มีรายงานว่าดื้อต่อยาปฏิชีวนะเกือบ 100% แต่การใช้ซิงค์ออกไซด์นั้นควรมีข้อระมัดระวังในเรื่องรสขม เฝื่อน รสชาติอาหารไม่ดี การใช้ในปริมาณสูง และนานเกินไป อาจทำให้สัตว์ขับทิ้งเป็นของเสียออกมามาก แร่ธาตุสังกะสีนี้อาจก่อปัญหามลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม และมีผลกระทบต่อพืชได้เช่นกัน จึงไม่ควรใช้ต่อเนื่องยาวนาน และควรเลือกใช้ชนิดหรือรูปแบบที่สัตว์กินได้ง่าย ไม่มีปัญหาเรื่องรสชาติ และนำไปใช้ประโยชน์ได้สูงสุด เช่น โมเลกุลขนาดเล็กมากระดับนาโนเมตร หรือเป็น
ออแกนิคซิงค์ เช่น รูปแบบคอมเพล็กซ์ที่จับอยู่กับเมทไธโอนีน เป็นต้น จะช่วยให้การขับถ่ายทิ้งออกมาน้อย ตกค้างในสิ่งแวดล้อมน้อย สัตว์นำไปใช้ได้มาก ทั้งยังช่วยลดต้นทุนค่าอาหารที่สัตว์ขับถ่ายออกมาแบบสูญเสียไปฟรีๆ อีกด้วย
หากถามว่าซิงค์ออกไซด์จะไปช่วยลดต้นทุนการผลิตสุกรให้ต่ำลงได้จริงหรือ ตอบได้เลยว่า ไม่ได้ช่วยลดในส่วนของวัตถุดิบ พลังงาน หรือโภชนะอื่นๆ อันเกี่ยวกับราคาในทำนองนั้น แต่ช่วยในแง่สุขภาพ หรือความแข็งแรง ลดความสูญเสียในภาวะ SET BACK ที่พร้อมจะบวกค่าเสียหายรวมเพิ่มไปกับต้นทุนค่าอาหาร และต้นทุนการผลิตอื่นๆ ที่แพงมากอยู่แล้ว ให้แพงมากขึ้นไปอีก ซิงค์ออกไซด์อาจให้ประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ หรือให้ความคุ้มค่าน่าใช้ทางเศรษฐกิจก็ได้ เพราะการลด งด หรือละเว้นไม่ใส่ อาจช่วยลดต้นทุนราคาหน้าสูตร หรือต้นทุนค่าอาหารได้ก็จริง แต่ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากถ่ายเหลว ท้องเสียในภาวะ SET BACK อาจมีมูลค่าเสียหายที่ต้องจ่ายมากกว่าราคาวัตถุเติมในอาหารที่เราตัดออกไปก็ได้
การใช้วัตถุที่เติมในอาหารสัตว์ชนิดใดก็ตามแบบเดี่ยวๆ ก็อาจช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงภาพจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ที่สวยงาม ก็เกิดจากชิ้นส่วนเล็กๆ มาประกอบต่อเข้าร่วมกัน ดังนั้นการลดต้นทุนการผลิตสุกรในช่วงวิกฤติวัตถุดิบหายากและแพงเช่นนี้ คงต้องใช้จิ๊กซอว์เล็กๆ มากมายมาร่วมด้วยช่วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าซิงค์ออกไซด์ก็เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งของภาพนี้เช่นกัน หากท่านเลือกมาใช้ มาต่อ มาวางให้ถูกตำแหน่ง ถูกเวลาบนภาพ ก็จะได้ภาพ หรือผลคาดหวังสวยงามตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ส่วนจิ๊กซอว์ตัวอื่นๆ ติดตามได้ในเดือนถัดๆ ไปนะครับ…
เอกสารอ้างอิง
ทรงเกียรติ แสงมาศ. ภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
ภานุวัฒน์ แย้มสกุล และคณะ. สาขาวิชาคลินิกสัตว์บริโภค คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ภาวิณี ตอนศรี. ภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
วรรณพร ทะพิงค์แก. 2557. วารสารเกษตร 30(2) : 201-212.