หมูอเมริกามีสารเร่งฯ กับจุดยืนที่ไทยต้องเลือก

โดย วิชญ์ เจริญคุณทรัพย์

               ถ้าจะพูดถึงจุดขายของอุตสาหกรรมหมูไทยในตลาดโลก หนึ่งในคำที่คนในวงการภูมิใจที่สุดคือ หมูปลอดสารเร่งเนื้อแดง 100%”
               เพราะกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ไทยมีกฎหมายชัดเจนห้ามใช้สารกลุ่ม β-agonists ทุกชนิด รวมถึง Ractopamine ในทั้งการเลี้ยงและการนำเข้า
               มาตรการนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็น “ตราสัญลักษณ์ความปลอดภัย” ที่สอดคล้องกับมาตรฐานของตลาดใหญ่ที่เข้มงวดอย่าง จีน และสหภาพยุโรป

               กฎหมายหลัก 2 ฉบับที่คุมเรื่องนี้คือ

            ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 273 พ.ศ. 2546) — ห้ามมีสารเร่งเนื้อแดงในอาหารและเนื้อสัตว์แม้เพียงเล็กน้อย

            ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2559 — ห้ามใช้ Ractopamine และสารในกลุ่มเดียวกันในอาหารสัตว์

               นี่คือเหตุผลที่ทำให้เนื้อหมูไทยกลายเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อเชื่อใจ และเป็นพื้นฐานของแบรนด์ “หมูปลอดสาร” ที่เราสร้างมากว่าครึ่งชีวิตของเกษตรกรรุ่นนี้

            ในสหรัฐฯ การใช้ Ractopamine เป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมหมู เพราะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้ 3–6% และเพิ่มปริมาณเนื้อแดงต่อซาก ซึ่งหมายความว่า หมูสหรัฐฯ สามารถขายได้ถูกกว่าไทยในตลาดโลก

               ไม่แปลกที่ตลอดการเจรจาการค้า ไทย–สหรัฐฯ ฝั่งเขามีข้อเรียกร้องเดิมซ้ำ ๆ — เปิดตลาดหมูเรา”
               โดยอ้างอิงมาตรฐาน Codex ที่อนุญาตให้มีสารนี้ตกค้างได้ในปริมาณที่กำหนด (MRL) และบางครั้งก็ผูกเรื่องนี้กับสิทธิประโยชน์ทางการค้า ปัญหาคือ ถ้าไทยปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับ Codex หมูสหรัฐฯ ก็สามารถเข้ามาแข่งขันได้อย่างถูกกฎหมาย แม้จะจำกัดปริมาณนำเข้าแค่ 1% ของการบริโภคในประเทศ แต่แรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจกับผู้เลี้ยงไทยก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก

            Codex บอกว่า Ractopamine ปลอดภัยถ้าตกค้างไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ในทางวิทยาศาสตร์ยังมีข้อกังขามากมาย
               โดยเฉพาะใน 3 ประเด็นหลัก:

            กลุ่มเสี่ยงพิเศษ: คนเป็นโรคหัวใจ ความดัน หรือระบบประสาท อาจไวต่อสารนี้ แม้ได้รับเพียงเล็กน้อย

            การสะสมจากหลายแหล่งอาหาร: กินหมูปนสารเพียงเล็กน้อย อาจไม่เป็นไร แต่ถ้าได้จากเนื้อสัตว์หลายชนิดรวมกัน ความเสี่ยงก็เพิ่ม

            ความแตกต่างระหว่างบุคคล: คนเอเชียบางกลุ่มอาจมีความไวต่อสารนี้มากกว่าค่าเฉลี่ยที่ใช้ในมาตรฐานสากล

นี่คือเหตุผลที่จีนและสหภาพยุโรปยังคง “ไม่ลดมาตรฐาน” และเลือกห้ามใช้สารนี้เด็ดขาด

            ถ้าไทย เปิดนำเข้า หมูที่ใช้ Ractopamine แต่ยังคงห้ามเกษตรกรไทยใช้ → ผู้เลี้ยงในประเทศเสียเปรียบทันที เพราะต้องสู้กับหมูต้นทุนต่ำจากต่างประเทศ

               แต่ถ้าไทย อนุญาตให้ใช้ สารนี้ในฟาร์ม → ต้นทุนอาจลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังสู้หมูสหรัฐฯ ไม่ได้ เพราะต้นทุนโครงสร้างของเขาต่ำกว่าเรา 15–25%

               ฟาร์มหมูอาจต้องลงทุนเพิ่ม เพื่อแยกระบบเลี้ยงเป็น “หมูปลอดสาร” และ “หมูใช้สาร” ป้อนตลาดพรีเมียม ส่วนผู้เลี้ยงรายเล็กที่ไม่มีทุนปรับตัว อาจต้องออกจากตลาดอย่างถาวร

            แม้ไทยจะไม่ได้เป็นผู้ส่งออกหมูรายใหญ่ของโลก แต่ชื่อเสียง หมูปลอดสารเร่งเนื้อแดง” เป็นตั๋วผ่านด่านสำคัญในตลาดอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก, อาหารพร้อมปรุง, และหมูแช่แข็ง
               ถ้าเราเสียจุดขายนี้ไป อาจกระทบวงกว้างถึง: ความน่าเชื่อถือ Food Safety ในภาพรวมของสินค้าเกษตรไทย ความยุ่งยากด้านการผลิต เพราะผู้ผลิตอาหารต้องแยกไลน์และเพิ่มขั้นตอนตรวจสอบเพื่อรักษาตลาดปลอดสาร ต้นทุนสูงขึ้น และอาจทำให้ผู้ผลิตบางรายสูญเสียคู่ค้าในต่างประเทศ

            อย่างไรก็ดี หากต้องเปิดนำเข้าหลีกเลี่ยงไม่ได้: ต้องมี  ระบบแยกหมูปลอดสาร ตั้งแต่ฟาร์มถึงผู้บริโภค ฉลากบังคับ บอกชัดว่าเนื้อนี้ใช้/ไม่ใช้ Ractopamine สนับสนุนผู้เลี้ยงรายย่อย ด้วยเงินทุนและการหาตลาดใหม่ ต่อรองการค้าแบบมีเงื่อนไข เปิดหมู แลกกับการเปิดตลาดสินค้าสำคัญของไทยในสหรัฐฯ สื่อสารตรงกับผู้บริโภค ป้องกันข้อมูลบิดเบือน

               หากปล่อยให้มีการนำเข้า เนื้อหมูอเมริกาที่มี Ractopamine ถูกต้องตามกฎหมาย อาจดูเหมือนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ในความจริง นี่คือการเขียนกติกาใหม่ให้ทั้งอุตสาหกรรมสุกรไทย

               คำถามคือ — เราพร้อมหรือไม่ที่จะแลกสิทธิ์ทางภาษีสหรัฐฯ กับความเสี่ยงด้านสุขภาพของคนในประเทศ การสูญเสียจุดขายสำคัญที่ใช้เวลาสร้างมากว่าสองทศวรรษ และ

               ที่สำคัญ…นี่คือการ “ลดระดับความปลอดภัยอาหารของไทยลง” หรือไม่?

               หรือสุดท้ายแล้ว เรากำลังจะ “แลกภาษี” ด้วย “อาชีพของเกษตรกร” และ “ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค” โดยไม่รู้ตัว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related News