เปิดประตูให้ “หมูสหรัฐ” จุดท้าทายความมั่นคงทางอาหารไทย
น.สพ.นิพนธ์ ตันติพิริยะพงศ์ อดีตนายกสมาคมนิสิตเก่าสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

การนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในไทย ทั้งในด้านความปลอดภัยของผู้บริโภค อนาคตเกษตรกรรายย่อย และความมั่นคงทางอาหาร แม้จะไม่เห็นด้วยกับการนำเข้า แต่การปิดกั้นโดยสิ้นเชิงก็แทบเป็นไปไม่ได้ในโลกการค้าเสรี รัฐไทยจำเป็นต้องตั้งเงื่อนไขชัดเจนเพื่อป้องกันผลกระทบ
[มาตรฐาน “ปลอดสารเร่ง” คือเงื่อนไขพื้นฐานที่ไทยต้องกำหนด]
แม้สหรัฐฯ เคยใช้สารเร่งเนื้อแดง (แรคโตพามีน) ในการเลี้ยงหมู แต่ปัจจุบันได้ปรับไลน์ผลิตให้ “ปลอดสาร” มากถึง 50% ซึ่งหมายความว่า หากไทยกำหนดให้รับเฉพาะหมูปลอดสาร สหรัฐฯ ก็สามารถส่งออกได้ทันที จึงไม่มีเหตุผลใดที่ไทยจะไม่ใช้มาตรฐานนี้เป็นข้อบังคับ
[PCA ไม่ควรถูกใช้กับอาหารสดอย่างเด็ดขาด]
มาตรการ Post-Clearance Audit (PCA) ซึ่งเน้นปล่อยสินค้าออกก่อนตรวจสอบ เหมาะกับสินค้าที่ไม่มีความเสี่ยง เช่น เครื่องจักร แต่ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับเนื้อสัตว์สด เพราะหากปล่อยออกตลาดแล้ว ตรวจเจอภายหลังจะไม่สามารถเรียกคืนได้ง่ายเหมือนสินค้าบรรจุภัณฑ์ การใช้ PCA กับเนื้อหมูแช่แข็งจึงอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค
.
[หมูราคาถูก อาจแฝงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ผู้บริโภคต้องรับเอง]
แม้เนื้อหมูจากสหรัฐจะมีราคาถูก แต่ชิ้นส่วนที่ไทยจะได้รับมักเป็นของเหลือจากตลาดอเมริกัน เช่น หัว ขา เครื่องใน หรือสามชั้น ซึ่งมีความเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ซาโมเนลลา หรือสเตรปโตค็อกคัส ระบบตรวจสอบของสหรัฐฯ ไม่ได้ครอบคลุมความเสี่ยงนี้ ทำให้ไทยต้องตั้งมาตรการเข้มงวดมากกว่าการตรวจตามปกติ
.
[ผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยไม่อาจมองข้าม]
แม้ปริมาณนำเข้าจะดูเหมือนเพียง 1% ของตลาด แต่หากคิดเป็นตัวเลขจริงอยู่ที่ราว 10,000 ตันต่อปี ถือว่าไม่เล็ก และจะกระทบเกษตรกรรายย่อยที่ไม่มีระบบตลาดหรือแบรนด์แข็งแรง ความสามารถในการแข่งขันจะลดลงทันทีหากไม่มีการควบคุมโควตาหรือการสร้างมาตรฐานร่วม
[มาตรฐานเดียวกันคือกุญแจ ไม่ใช่การกีดกันทางการค้า]
สิ่งที่ไทยควรผลักดันคือการใช้มาตรฐานเดียวกับเนื้อหมูไทยกับหมูนำเข้า เช่น HACCP, ISO, มาตรฐานสุขอนามัยปศุสัตว์ และระบบ Traceability รวมถึงห้ามใช้ PCA กับสินค้าสด การค้าระหว่างประเทศไม่ควรเป็นช่องทางลดมาตรฐาน แต่ต้องยกระดับการแข่งขันบนเงื่อนไขเดียวกันเพื่อปกป้องผู้บริโภคและความมั่นคงทางอาหารของชาติ