ผู้เลี้ยงหมู…ยื่นหนังสือค้านนำเข้าหมูสหรัฐ จี้ร้ฐฯหาทางออก

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เข้าพบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอความชัดเจนในเรื่องการนำเข้าหมูสหรัฐ ตามเงื่อนไขภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) หลังนายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าเจรจาภาษี นำเงื่อนไขการนำเข้าหมูสหรัฐที่ในอดีตไทยไม่ให้มีการนำเข้าหมูจากประเทศที่ใช้สารเร่งเนื้อแดง หวั่นกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหาร และสุขภาพของคนไทย
พร้อมยื่นหนังสือ เรื่อง ขอคัดค้านการเปิดตลาดสินค้าสุกรจากสหรัฐฯ ที่ขัดต่อหลักการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) ในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หลังทีมเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา ได้มีข้อเสนอในการเจรจาที่ส่วนหนึ่งมีท่าทีว่าจะเปิดตลาดสินค้าสุกรให้สหรัฐอมริกา ในปริมาณ 1% ของความต้องการบริโภคในประเทศ
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศมีข้อกังวล ในหลายประเด็นที่คิดว่าน่าจะร่วมหารือเพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาและเป็นทางออก
1.กรณีหากมีการพิจารณายกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 269) พ.ศ.2546 เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเคมีในกลุ่มเบต้าอะโกนีสต์ ที่ออกตามพระราชบัญญัติ อาหาร พ.ศ.2522 ที่เป็นมาตรการด้านสุขอนามัยของพลเมือง ที่ต้องผ่านการความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ของการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายระดับประกาศกระทรวง ซึ่งรัฐบาลต้องมีคำตอบสำหรับปัญหาที่จะตามมา ดังนี้
1.1 ปัญหาด้านสุขอนามัยของพลเมือง ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมกันรณรงค์ ให้พลเมืองตระหนักรู้ถึงพิษภัยจากการบริโภคเนื้อสุกรที่มีการปนเปื้อนสารเคมี จากการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยง ที่เป็นสารก่อมะเร็งมาตลอด
1.2 จะตอบคำถามผู้เลี้ยงสุกรอย่างไร? ประเทศไทยประกาศใช้กฎหมาย ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์สำหรับการเลี้ยงสุกร ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ พ.ศ.2559 ตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ.2558 แต่อนุญาตให้นำเข้าสินค้าเนื้อสุกรจากประเทศที่ให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยง ผิดหลักการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) ในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
2. หากรัฐบาลต้องยกเลิกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ พ.ศ.2559 ซึ่งการยกเลิกกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ ก็เท่ากับรัฐบาลได้ทำตามมติที่ประชุม CODEX เมื่อปี 2555 เพราะตลอดระยะเวลา 13 ปี กฎหมาย 2 ฉบับนี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกามองว่า ไทยกีดกันทางการค้า Non-tariff barriers (NTBs) กับสินค้าสุกรจากสหรัฐอเมริกา เนื่องจากไทยเป็นภาคีสมาชิกที่รับมติร่างมาตรฐานค่าตกค้างสูงสุด (MRLs) ของแรคโตพามีนไปแล้ว จากการประชุม CODEX ปี 2555 แต่จากข้อเท็จจริงกับประเด็นดังกล่าวนี้ คือ
2.1.ในช่วงปี 2560 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้เคยมีคำขอให้สำนักงานมาตรฐานอาหารและเกษตรแห่งชาติ (มกอช.) ใช้เอกสิทธิ์ของภาคีสมาชิกทำคำสงวนย้อนหลังกับ CODEX ในประเด็นการคงกฎหมายของประเทศ ในเรื่องที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ หรือการทำบันทึกย้อนหลังไม่เห็นด้วยกับมติร่างมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาในการกำหนดค่าตกค้างสูงสุด (MRLs) ในการประชุมดังกล่าว เพื่อยุติปัญหาเรื่องการกีดกันทางการค้า แต่มกอช.มิได้ดำเนินการตามคำขอ
2.2.ช่วงปี 2563 ประเด็นข้ออ้างว่าเป็นการกีดกันทางการค้า สหรัฐอเมริกาเคยนำมาเป็นประเด็นการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ไทยไป 1 ใน 6 รายการสินค้าที่ให้ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามแรงกดดันของภาคเอกชนสหรัฐอเมริกา (สภาผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ หรือ NPPC)
จากประเด็นดังกล่าวมาข้างต้น สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
1.ขอคัดค้านการเปิดตลาดสินค้าสุกรจากสหรัฐอเมริกา ที่ขัดต่อหลักการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) ในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
2.ประเด็นมติร่างมาตรฐาน CODEX ขอให้รัฐบาลแก้ปัญหา โดยการยื่นคำสงวนย้อนหลังที่จะคงกฎหมายภายในประเทศไว้
3.ขอให้เพิ่มปริมาณการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ กลุ่มข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี และกากถั่วเหลืองส่วนขาดของภาคปศุสัตว์และอาหารสัตว์ ชดเชยส่วนที่จะไม่เปิดตลาดสินค้าสุกรให้สหรัฐอเมริกา โดยภาคปศุสัตว์และอาหารสัตว์ ได้มีการเสนอรายละเอียดนี้ให้กับภาครัฐพิจารณานำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ส่วนขาดหลังการรับซื้อผลผลิตฯ ภายในประเทศแล้ว ซึ่งต้นทุนที่ต่ำของวัตถุดิบอาหารสัตว์จากสหรัฐอเมริกาจะช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรของไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยไม่กระทบกับเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพดภายในประเทศ
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาร่วมหาทางออก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร และภาพรวมอุตสาหกรรมอื่นๆ ของประเทศ
ขอแสดงความนับถือ
(นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ)
นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ