ผู้เลี้ยงหมู…เบื้องหลังความมั่นคงทางอาหารไทย ที่ไม่ควรแลกกับภาษีสหรัฐฯ

เนื้อหมู คือ อาหารโปรตีนที่พบได้เป็นประจำในจานอาหารของคนไทย แต่น้อยคนจะมองเห็นว่า เบื้องหลังเนื้อหมูบนโต๊ะอาหารนั้นคือ “ฟันเฟืองสำคัญของระบบความมั่นคงทางอาหารแห่งชาติ” ที่เชื่อมโยงกับเกษตรกรนับแสนราย คนงานนับล้าน และเศรษฐกิจชุมชนทั่วประเทศ ในวันที่ต้นทุนพุ่ง โรคระบาดปศุสัตว์ทวีความรุนแรง และกระแสการนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศเริ่มดังขึ้น

บทความนี้จะพาไปสำรวจว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูมีบทบาทอย่างไรต่อความมั่นคงทางอาหาร และถ้าประเทศไทยยอมให้เนื้อหมูนำเข้ามาแลกภาษีสหรัฐฯ แล้ว… ไทยอาจสูญเสียอะไรบ้าง ?

ปัจจุบันประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูราว 145,000–190,000 ราย กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือตอนล่าง เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นฟาร์มรายย่อยที่เลี้ยงสุกรจำนวนน้อยแต่ต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นกำลังหลักในการผลิตหมูขุนสำหรับบริโภคในประเทศ

จากข้อมูลสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ พบว่า เนื้อหมูคิดเป็น มากกว่า 50% ของโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่คนไทยบริโภค เฉลี่ยราว 20–22 กิโลกรัมต่อคนต่อปี การผลิตหมู จึงเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของระบบอาหาร” ยิ่งไปกว่านั้น ห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมสุกรยังสร้างงานให้กับแรงงานในหลายสาขา ทั้งคนเลี้ยง คนผสมอาหารสัตว์ คนขายเวชภัณฑ์ คนขนส่ง โรงฆ่าสัตว์ และพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด ประเมินว่ามีคนไทย เกือบ 10 ล้านคน ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่การผลิตหมูโดยตรงและทางอ้อม

ขณะที่ “ความมั่นคงทางอาหาร” ตามนิยาม องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า คือ สภาวะที่ประชาชนเข้าถึงอาหารได้อย่างเพียงพอ ปลอดภัย และยั่งยืน ทั้งในเชิงปริมาณ คุณภาพ และราคา ซึ่งในบริบทประเทศไทย หมูไม่เพียงเป็นอาหารราคาประหยัดของประชาชน แต่ยังเป็น อาหารที่ไทยสามารถผลิตได้พอเพียงโดยไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ

ดังนั้น หากต้องพึ่งพาเนื้อหมูจากต่างประเทศ ความเสี่ยงเรื่องราคาเนื้อหมูจะอยู่ในมือผู้นำเข้า สวนทางกับอำนาจการต่อรองของผู้เลี้ยงภายในประเทศจะลดลง ความสามารถในการควบคุมโรคและมาตรฐานความปลอดภัยจะตกอยู่ในมือของต่างประเทศ

ยกตัวอย่าง กรณีที่เกิดการระบาดของ ASF ในหลายประเทศ ทำให้เกิดการจำกัดส่งออก ทำให้ประเทศที่พึ่งพานำเข้าต้องประสบภาวะขาดแคลน ราคาเนื้อหมูพุ่ง ผู้มีรายได้น้อยจึงเข้าถึงอาหารได้น้อยลง แม้บางฝ่ายจะมองว่า “นำเข้าเนื้อหมู” จากสหรัฐฯ นอกจากใช้เป็นเครื่องมือต่อรองอัตราภาษีกับสหรัฐฯ แล้ว ยังอาจทางออกของปัญหาราคาหมูในประเทศ แต่ความเป็นจริง นี่อาจเป็น “ไฟลามทุ่ง” ที่เผาทำลายทั้งระบบอาหารไทย

เริ่มจาก เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูจะล่มสลาย โดยหมูจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มาจากฟาร์มขนาดใหญ่ มีต้นทุนเฉลี่ยต่ำกว่าไทยถึง 20–30% นำเข้าเข้ามา ราคาหมูภายในประเทศจะตกต่ำ เพราะเกษตรกรรายย่อยในไทยที่มีต้นทุนสูงกว่า จะไม่สามารถแข่งขันได้จนอาจต้องปิดฟาร์มโดยที่ยังมีหนี้สินล้นมือ

จากนั้นการเลิกเลี้ยงหมูของเกษตรกรจะกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่เกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดอบอาหารสัตว์ (ข้าวโพด มันสำปะหลัง), ผู้ขายวัคซีน, พ่อค้ารับซื้อ ฯลฯ บริษัทที่เคยพึ่งหมูในประเทศ จะต้องปรับระบบการผลิตใหม่ ซึ่งมีต้นทุนสูง และเมื่อไทยไม่สามารถผลิตเนื้อหมูได้เอง ต้องพึ่งพาการนำเข้าเพียงอย่างเดียว ในยามสงคราม โรคระบาด หรือปัญหาข้ามพรมแดน ไทยอาจไม่สามารถหาซื้อเนื้อหมูได้แม้มีเงิน เรียกได้ว่า สูญเสีย “อธิปไตยทางอาหาร” ที่เคยมี

ในสังคมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและการค้าเสรี เราอาจหลงลืมว่า อาหารที่มั่นคงไม่ได้มาจากการนำเข้า แต่มาจาก “การผลิตเองได้ภายในประเทศ” ดังนั้น ผู้เลี้ยงหมูไทยนับแสนราย คือทัพหน้าที่เป็น “แนวป้องกันด่านแรก” ของระบบอาหารไทย เพราะเขาเลี้ยงหมูท่ามกลางโรคระบาด พายุเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสร้างงานให้คนในหมู่บ้าน เป็นฟันเฟืองของเศรษฐกิจฐานราก ถือเป็นคำตอบของการพึ่งพาตนเองทางอาหารของชาติ

การนำเข้าเนื้อหมูราคาถูกจากต่างประเทศ อาจได้ประโยชน์ชั่วคราว แต่ต้องแลกด้วย “การสูญเสียระบบอาหารของตัวเอง” ถือว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย”

ด้วยเหตุนี้ แทนที่จะเปิดเสรีนำเข้า ไทยควรสนับสนุนเกษตรกรให้เลี้ยงหมูอย่างปลอดภัย ต้นทุนต่ำ และควบคุมโรคได้หรือส่งเสริมระบบ contract farming แบบเป็นธรรม เพื่อให้เกษตรกรมีตลาดรองรับ สร้างระบบราคาที่ยุติธรรม ควบคุมการลักลอบนำเข้า ที่บิดเบือนตลาดอย่างรุนแรง ที่สำคัญต้องสร้าง “ทัศนคติใหม่” ต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ที่ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตสินค้า แต่คือ “ผู้พิทักษ์อธิปไตยอาหารของชาติ”

เมื่อพูดถึง “ความมั่นคงของประเทศ” หลายคนอาจนึกถึงกองทัพ หรือระบบพลังงาน แต่แท้จริงแล้ว “อาหาร” คือความมั่นคงที่สัมผัสได้ 3 มื้อต่อวัน การมีหมูไทยกินได้ทุกวัน ไม่ต้องนำเข้า ไม่ต้องรอส่งของจากเรือ เก็บสินค้าแช่แช็งมารอขายคนไทย นี่คือความมั่นคงอย่างแท้จริงที่ควรหวงแหนและความมั่นคงนี้…เริ่มต้นที่ “เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทย” คนที่อยู่เบื้องหลังอาหารจานโปรดของคนไทยทั้งประเทศ..

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related News