ซื้อหมูผิด คิดจน (หมู) ตาย (จากกรณีศึกษา)
โดย น.สพ. ยุทธ เทียมสุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายวิชาการ บจก. เซ็นทรัลลิส

หากยังจำกันได้ บทความเดือนก่อนหน้านี้ ชี้ให้เห็นประเด็นเรื่องความสำคัญของการป้องกันโรคในฟาร์มสุกร ด้วยการใช้วัคซีน ซึ่งหากละเลย หลงลืม ไม่ให้ความสำคัญ ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ในเดือนนี้ยังคงขอนำเสนออีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก ไม่แพ้กัน วัตถุประสงค์ของบทความนี้ไม่ได้ต้องการเน้นเรื่องตัวโรค หรืออาการแต่อย่างใด เพราะทุกท่านคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่มุ่งหวังให้เห็นไปยังช่องทางการได้รับเชื้อ หรือติดต่อนำโรคมาได้อย่างไร เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง ไม่ให้ซ้ำรอยกรณีศึกษานี้ น่าสนใจใช่ไหมครับ ตามมาเรียนรู้กันได้เลย
ฟาร์มสุกรขุนแห่งหนึ่งขนาด 1,000 ตัว ซื้อลูกสุกรอนุบาลเข้ามาเลี้ยงรวมกันจากหลายแหล่ง โดยไม่เคยมีปัญหาใดๆ เป็นปกติมาโดยตลอด แต่ช่วงหลังๆ ได้ซื้อจากฟาร์ม A เป็นประจำ เพราะมั่นใจในคุณภาพและสุขภาพสุกร โดย 4 ชุดหลังสุด ซื้อเข้าชุดละ 150-300 ตัว ในช่วงระหว่างนี้ต้องการขยาย เพิ่มจำนวนสุกรให้มากขึ้น จึงได้ซื้อลูกสุกรจากฟาร์มใหม่อีกแห่ง (B) เข้ามาเป็นครั้งแรก จำนวน 250 ตัว โดยซื้อเข้ามาคั่นกลางระหว่างฟาร์ม A คือ ซื้อฟาร์ม A เข้ามา 2 ชุด คั่นด้วยฟาร์ม B 1 ชุด และปิด 2 ชุดสุดท้ายจากฟาร์ม A เช่นเดิม เข้าห่างกันชุดละ 1-2 สัปดาห์
จากข้อมูลบันทึกรายงานว่า สุกรจากฟาร์ม A มีน้ำหนักรับเข้าเฉลี่ยประมาณ 26.08 กก. ช่วง 30 วันที่เลี้ยงทั้ง 4 ชุด มีตาย 1 ตัว คัดทิ้ง 1 ตัว คิดเป็น 0.29% ประเมินสุขภาพว่าดี ตลอดการเลี้ยง ค่า ADG FCR อยู่ในมาตรฐานเกณฑ์ปกติ ส่วนสุกรจากฟาร์ม B มีน้ำหนักรับเข้าเฉลี่ยประมาณ 21.30 กก. ประเมินวันรับเข้าสุขภาพไม่ค่อยดีนัก สุกรมีปัญหาทางเดินหายใจ มีอาการไอเล็กน้อย 2-3 ตัว คาดว่าเป็นระบบทางเดินหายใจเบื้องต้น เล็กน้อย น่าจะดีขึ้น รักษาด้วยยาปฏิชีวนะน่าจะหายได้
ต่อมาวันที่สอง สุกรจากฟาร์ม B เริ่มมีอาการระบบทางเดินหายใจมากขึ้น หอบ ไอ หายใจกระแทก ร่วมกับอาการระบบทางเดินอาหาร มีอาการถ่ายเหลว ท้องเสีย อัตราการป่วยประมาณ 10% ของฝูง ยังไม่ได้ดำเนินการรักษาใดๆ วันที่สามพบว่าสุกรจากฟาร์ม B ตายเฉียบพลัน 1 ตัว ผิวหนังภายนอกดูซีดขาว ผอม ซากแข็งตัวแล้ว ไม่พบลักษณะผิดปกติภายนอกแต่อย่างใด ไม่ได้ทำการผ่าชันสูตรซาก สังเกตดูสุกรตัวอื่นๆ ของฝูง B ดูป่วย เริ่มกินอาหารน้อยลง ผอม ขนหยอง ไม่ตื่นตัว ซึม เคลื่อนไหวน้อยลง ไอ จาม หายใจกระแทก หอบ บางส่วนนอนสุมกัน คล้ายมีไข้ บางตัวท้องเสีย ถ่ายเหลว วินิจฉัยเบื้องต้นคาดการณ์ว่าเป็นอาการเกี่ยวเนื่องกับโรคระบบทางเดินหายใจ โดยอาจมีสาเหตุหลักมาจากโรค PRRS
ทางฟาร์มรักษาด้วยการฉีดยาปฏิชีวนะชนิดเซฟไตรอาโซน ร่วมกับเจนต้ามัยซิน ให้สุกรทุกตัวที่มาจากฟาร์ม B เป็นเวลา 3 วันต่อเนื่อง รวมถึงเติมยาปฏิชีวนะกลุ่มที่ออกฤทธิ์ดีต่อแบคทีเรียในทางเดินอาหารทั้งกลุ่ม E.coli กลุ่มบิดมูกเลือดและลำไส้อักเสบเพิ่มบนอาหารเม็ดสำเร็จรูปที่ฟาร์มใช้ จากนั้นในช่วง 6 วันนับแต่สุกรตัวแรกตาย ไม่มีสุกรตายเพิ่มเติมแต่อย่างใด อาการสุกรป่วยยังคงดูทรงๆ ออกแนวดีขึ้นเล็กน้อย อัตราการป่วยคงเดิม ดูเหมือนอาการจะดีขึ้น ควบคุมสถานการณ์ได้แล้วใช่ไหมครับ ?
แต่เปล่าเลย วันที่สิบ (7 วันหลังตัวแรกตาย) พบสุกรจากฟาร์ม B ป่วยและตายจำนวน 3 ตัว ตามใบหูและลำตัว มีปื้นเลือด และผิวหนังออกสีม่วงแดง ทำการคัดแยกสุกรป่วย ซีด ขนหยอง ข้อบวม แยกเลี้ยงต่างหากจำนวน 46 ตัว วันที่สิบเอ็ด พบสุกรป่วยและตายเพิ่มอีกจำนวน 3 ตัว ด้วยลักษณะเดียวกัน ฟาร์มตัดสินใจนำสุกรป่วย 2 ตัว ส่งไปชันสูตร หาสาเหตุและยืนยันโรคที่ห้องปฏิบัติการแห่งหนึ่ง วันที่สิบสามพบสุกรป่วยและตายอีกจำนวน 3 ตัว ด้วยลักษณะตามใบหูและลำตัว มีปื้นเลือด และผิวหนังออกสีม่วงแดงเช่นเดียวกับตัวก่อนๆ
ระหว่างรอผลชันสูตรออก ได้ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบโปรแกรมวัคซีนของฟาร์ม A โดยในแม่พันธุ์ได้ทำวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเทียม ปากและเท้าเปื่อย แบบปูพรมทุก 4 เดือน เซอร์โคไวรัสที่อายุท้อง 8 สัปดาห์ PRRS ที่อายุท้อง 10 สัปดาห์ และอหิวาต์สุกรพร้อมลูกช่วงกำลังจะหย่านมที่อายุ 21-23 วัน ส่วนในลูกได้ทำวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์สุกรเข็มแรกที่อายุ 21-23 วัน เข็มที่สองอายุ 6 สัปดาห์ พิษสุนัขบ้าเทียมอายุ 8 สัปดาห์ เซอร์โคไวรัสที่อายุ 9-10 สัปดาห์ โปรแกรมวัคซีนของฟาร์ม B โดยในแม่พันธุ์ได้ทำวัคซีนป้องกันโรค PED แบบปูพรมทุก 3 เดือน PRRS แบบปูพรมทุก 4 เดือน อหิวาต์สุกร และพิษสุนัขบ้าเทียมที่อายุท้อง 12-13 สัปดาห์ ส่วนในลูกได้ทำวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์สุกรเข็มแรก และปอดมัยโคพลาสมาที่อายุ 21 วัน เซอร์โคไวรัสที่อายุ 4 สัปดาห์ อหิวาต์สุกรเข็มที่สองอายุ 5 สัปดาห์ พิษสุนัขบ้าเทียมที่อายุ 8 สัปดาห์
จากการพิจารณาพบว่าทั้งสองฟาร์มทำวัคซีน PRRS แค่ในแม่ แต่ไม่ได้ทำในลูกทั้งคู่ ฟาร์ม B ไม่ได้ทำวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อยในแม่ ฟาร์ม A ทำวัคซีนป้องกันโรคเซอร์โคไวรัสในแม่ก่อนคลอด จึงทำในลูกค่อนข้างช้า ในขณะที่ฟาร์ม B ไม่ได้ทำในแม่ จึงทำในลูกค่อนข้างเร็ว ฟาร์ม B มีจุดน่าสังเกตคือ มีการทำวัคซีนป้องกันโรค PED และวัคซีนอหิวาต์สุกรในขณะที่แม่สุกรตั้งท้องได้ 12-13 สัปดาห์ จากการประมวลผลสามารถวินิจฉัยแยกแยะโรคเบื้องต้นคร่าวๆ ได้ดังนี้ โรค ASF โรคอหิวาต์สุกร โรค PRRS โรคซัลโมเนลโลซิสแบบติดเชื้อเข้าเลือด โรค E.coli แบบติดเชื้อเข้าเลือด โรคพาสเจอร์เรลโลซีส โรค APP โรคไข้หนังแดงแบบรุนแรงเฉียบพลัน โรคแกลสเซอร์แบบรุนแรงเฉียบพลัน
ผลการชันสูตรรอยโรคทางพยาธิวิทยา พบมีเลือดออก และจุดเลือดออกตามอวัยวะภายในทั้งหมดอย่างรุนแรง รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองและไต มีลักษณะปอดบวมอย่างชัดเจน แต่ต่อมน้ำเหลืองบวมโตแบบ PCV2 ยังไม่ชัดเจนมากนัก ส่วนผลการตรวจพิสูจน์ยืนยันโรคต่างๆ พบให้ผลบวกต่อไวรัส PRRS สายพันธุ์อเมริกา ให้ผลลบต่อไวรัส PCV2 สามารถเพาะแยกเชื้อแบคทีเรีย E.coli ได้จากลำไส้ หลอดลม สมอง ต่อมน้ำเหลือง และเชื้อ Salmonella spp. ได้จากลำไส้ และต่อมน้ำเหลือง ผลการตรวจคุณภาพน้ำทางชีววิทยา พบแบคทีเรีย E.coli และ Coliform ปริมาณเกินค่ามาตรฐานค่อนข้างสูง แม้ว่าจะผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีนแล้วก็ตาม ผลตรวจไวรัส ASF ให้ผลลบ และสำคัญที่สุดผลตรวจยืนยันไวรัสอหิวาต์สุกรด้วยวิธี Direct fluorescent antibody test พบให้ผลบวกจากอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทอนซิล ต่อมน้ำเหลือง ม้าม ไต ลำไส้ และทางห้องปฏิบัติการได้คาดการณ์ว่าสาเหตุหลักของการป่วยตายในครั้งนี้คือ โรคอหิวาต์สุกร ซึ่งมีแนวโน้มติดโรคมานานแล้ว เป็นแบบเรื้อรัง ส่วนไวรัส PRRS ที่พบไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเชื้อก่อโรค หรือไวรัสวัคซีน แต่ก็อาจเป็นปัจจัยโน้มนำให้มีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นได้ เมื่อสุกรป่วยด้วยโรคอหิวาต์สุกร และ/หรือ PRRS ก็จะมีภาวะกดภูมิคุ้มกัน ทำให้ติดเชื้อ E.coli และ Salmonella spp. แทรกซ้อนจนเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย
หากเป็นการติดเชื้อที่ฟาร์มปลายทางนี้เอง และทำให้ป่วยตั้งแต่ช่วงวันแรกเป็นต้นมา ควรเป็นโรคแบบเฉียบพลัน และต้องมีสุกรที่ป่วยแพร่เชื้อในฟาร์มอยู่แล้ว แต่กรณีนี้มีสมมติฐานว่าเป็นแบบเรื้อรัง ติดเชื้อมาสักพักหนึ่งแล้ว จึงอาจแปลความหมายได้ว่ามีการติดเชื้อ หรือป่วยมาแต่ฟาร์มต้นทางที่ซื้อเข้ามา (B) ซึ่งกรณีศึกษานี้ไม่สามารถสืบสวน สอบสวน หรือทวนสอบจนถึงสาเหตุแท้จริงที่เกิดขึ้นในฟาร์มต้นทางได้อยู่แล้ว จึงคาดการณ์ว่าอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ สาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือหลายสาเหตุร่วมกัน ได้แก่ 1 ไม่ได้ทำวัคซีนอหิวาต์สุกรจริง ตามที่การันตีมา 2 หรือทำ แต่ไม่ได้ทำตามจำนวนเข็มที่การันตีมา 3 หรือทำ แต่อาจมีปัญหาด้านคุณภาพวัคซีน คุณภาพการเก็บรักษา คุณภาพการทำวัคซีน 4 ช่วงอายุที่ทำวัคซีนลูกสุกรเหมาะสมหรือไม่ 5 อาจมีการติดเชื้อแฝงในฝูงแม่พันธุ์ เป็นพาหะถ่ายทอดเชื้อให้ลูก การทำวัคซีนในลูกจึงอาจไม่ได้ผล 6 ไวรัสวัคซีนบางสายพันธุ์มีความรุนแรงสูงมาก หากทำวัคซีนในแม่ขณะมีลูกในท้อง ไวรัสวัคซีนอาจแพร่ไปยังลูก ทำให้เกิดภาวะ Immunotolerance ได้ 7 ลูกสุกรติดเชื้อไวรัส PRRS PCV2 ทำให้เกิดภาวะกดภูมิคุ้มกันรุนแรง แม้ทำวัคซีนอหิวาต์สุกรไปจริง ภูมิคุ้มกันก็ไม่ขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ 8 ภาวะกดภูมิคุ้มกันอื่นเช่น สารพิษเชื้อรา แม้ทำวัคซีนอหิวาต์สุกรไป ภูมิคุ้มกันก็ไม่ขึ้นดีเพียงพอเช่นกัน เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น หากถามว่าในกรณีศึกษานี้ การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นที่ฟาร์มปลายทางนี้เองได้หรือไม่ คำตอบก็ต้องบอกว่าได้ จากสาเหตุต่างๆ ที่เราคุ้นเคยกัน คน สัตว์พาหะ รถ อาหาร น้ำ วัสดุอุปกรณ์ และต่างๆ อีกมากมาย ตามที่เรารู้กัน แต่จากการพิจารณาแล้วพบว่ามีโอกาสน้อยมากๆ เพราะสุกรฟาร์ม A และตลอดระยะเวลา ไม่เคยมีอาการป่วย ตาย เช่นนี้แต่อย่างไร อาจร่วมกับสาเหตุที่สุกรฟาร์ม A แข็งแรง ทำวัคซีนมาครบถ้วน มีภูมิคุ้มกันโรคสูง
หลังทราบผล ทำการคัดแยกสุกรป่วยที่แสดงอาการออก และทำลายตามหลักวิชาการ จำนวน 55 ตัว มีสุกรตายไป 8 ตัว ส่งชันสูตร 2 ตัว เหลือสุกรที่ยังปกติไม่แสดงอาการ 185 ตัว จึงทำวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์สุกรแบบปูพรมทั้งฟาร์ม รวมของฟาร์ม A ด้วย และอีกประมาณ 10 วันต่อมาได้ทำซ้ำเข็มที่สอง ระหว่างนี้มีสุกรตายเพิ่มไปอีก 15 ตัว ที่เหลือรอด ไม่แสดงอาการป่วยใดๆ จนกระทั่งขาย ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่าหลังทำวัคซีนไป โรคมักสงบลงภายใน 1 สัปดาห์ ช่วงที่เกิดโรคมีการแยกชุดคนงาน หรือลำดับการทำงานในฟาร์มจากชุดปกติก่อน แล้วค่อยไปชุดที่ระบาด เน้นการฆ่าเชื้อโรคบนตัวคนงาน ช่วงที่มีการระบาดนี้ ได้พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในฟาร์มบ่อยๆ ทั้งชุดที่ปกติ และชุดที่ระบาด ทั้งได้หยุดนำเข้าสุกรชุดใหม่อย่างเด็ดขาด รอจนชุดนี้ขายหมดก่อน เมื่อขายหมดฟาร์ม ไม่มีสุกรเหลืออยู่เลย ได้ล้างทำความสะอาดฆ่าเชื้อใหม่หลายรอบ พักคอกนานกว่าเดิม และที่สำคัญคือ ได้เลิกซื้อสุกรเข้าจากฟาร์ม B โดยเด็ดขาด
กรณีศึกษานี้ เป็นตัวอย่างต้นแบบที่ดีมากทั้งเรื่องโรค เรื่องกระบวนการที่ควรทำระหว่างเกิดโรค และการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยตามกรณีนี้ คงไม่ต้องสรุปอะไรให้ยืดยาวอีก การซื้อหรือนำเข้าสุกรนั้น ไม่ว่าจะพ่อพันธุ์ สุกรสาวทดแทน ลูกสุกร หรือสุกรอนุบาลเข้ามาเลี้ยง สำคัญที่สุดคือ ต้นน้ำ หรือฟาร์มต้นทาง หากนำสุกรที่ปลอดโรคเข้ามา และทำวัคซีนซ้ำที่ฟาร์มเองอีก นั่นย่อมดีที่สุด แต่หากนำสุกรที่ติดเชื้อเข้ามาแล้ว ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำวัคซีนซ้ำที่ฟาร์มอีกก็ตาม ย่อมไม่ทันการณ์ สร้างความเสียหายมากมายมหาศาลดังกรณีศึกษานี้ จำหลักการนี้ไว้ ใช้ได้ตลอดกาลคือ ซื้อหรือนำเข้าสุกรปลอดโรคเท่านั้น จากฟาร์มเชื่อใจได้ มีผล Lab ยืนยัน เข้ามาควรอยู่ในโรงเรือนกักโรค มีช่วงเวลากักโรค คลุกโรค และที่สำคัญห้ามลืมคือ ควรทำวัคซีนซ้ำของเราเองอีก แต่การทำวัคซีนนี้อาจไม่มีประโยชน์ ถ้าไปทำกับสุกรที่ติดเชื้อมาแล้ว “ซื้อหมูผิด คิดจนตาย” วลีนี้คงจริงทุกที่ ทุกเวลา เป็นสากล เห็นด้วยไหมครับ…!!!