วิเคราะห์เหตุผล “ปลาสวยงามส่งออก” ยังเป็นคำตอบปัญหา “หมอคางดำ”

ประเด็นการส่งออก “ปลาหมอคางดำ” เป็น “ปลาสวยงาม” ยังมีการถกเถียง เพื่อหาข้อเท็จจริงกันอยู่ ทั้งฝ่ายที่สงสัยว่า “มี” และฝ่ายที่มั่นใจว่า “ไม่มี” ใครนำปลาหมอคางดำมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ดังเช่น NGO องค์กรอิสระที่ติดตามปัญหาปลาหมอคางดำ โดยพุ่งเป้าต้นตอที่บริษัทเอกชนรายใหญ่เป็นหลัก ได้ออกมาให้ 7 เหตุผลว่า ปลาสวยงาม ไม่ได้เป็นต้นตอการรุกรานของปลาหมอคางดำ แต่เมื่อพิจารณาทั้ง 7 เหตุผลแล้ว ยิ่งเกิดคำถามตามมา
ข้อแรก ที่กล่าวอ้างความสับสนในการเรียกชื่อสามัญของปลา Sarotherodon melanotheron ที่แม้แต่เอกสารของกรมประมงยังใช้หลายชื่อ ทั้ง ปลาในตระกูลปลานิล (2549) ปลาหมอเทศข้างลาย (2553) ปลาหมอสีคางดำ (2560) และต่อมาเรียก ปลาหมอคางดำ (2567) หากเป็นเช่นนี้ ในเอกสารขอนำเข้าของบริษัทก็ใช้ ปลาหมอเทศข้างลาย แสดงว่า ปลาที่นำเข้ามาไม่ใช่ปลาหมอคางดำอย่างนั้นหรือ ? เพราะขณะนั้น ปลาต่างถิ่นยังไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ และผู้รับผิดชอบก็อาจไม่รู้จักลักษณะปลาทุกชนิด แสดงว่า ชื่อสามัญที่เรียกนั้น มีโอกาสเป็นปลาชนิดใดก็ได้ เช่นเดียวกับ การลักลอบ เมื่อนำเข้ามาแล้วก็อาจมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ทั้งๆ ที่ เป็นปลาชนิดเดียวกันก็เป็นได้
ข้อต่อมา 2) การอ้างว่า กรมประมงได้ตรวจสอบข้อมูลการส่งออกแล้ว พบว่า เป็นความสับสนและการลงชื่อผิดของเจ้าหน้าที่ชิปปิ้ง ด้วยความสับสนของชื่อ และความหละหลวมของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ถือเป็นเหตุผลที่ “ไม่สมเหตุสมผล” เพราะการกรอกข้อมูลชื่อผิดของเจ้าหน้าที่ หากเป็นจริงก็น่าจะผิดแค่ไม่กี่ครั้ง แล้วต้องทำการแก้ไขใหเถูกต้อง แต่นี่ผิดครบทั้ง 11 บริษัท ตลอด 4 ปี กรมประมงปล่อยให้มีรายงานการส่งออกปลาต่างถิ่นห้ามเพาะเลี้ยงได้อย่างไร และที่สำคัญ ในปี 2558-2559 มี พรก.ประมง 2558 ที่ระบุว่า ผู้ส่งออกต้องแสดงแหล่งที่มาของปลาก่อน คำถาม คือ เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจหรือไม่ หากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำ ก็อาจผิดกฎหมาย ม.157 การละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้
ข้อที่ 3) NGO รายเดิมที่ระบุว่า ได้ตรวจสอบข้อมูลลงลึกรายละเอียดที่ด่านสุวรรณภูมิในปี 2558-2559 และพบว่า ไม่มีการส่งออกใดระบุว่า เป็นปลาหมอคางดำเลย ก็เกิดความสงสัยตามมาว่า NGO นี้มีหน้าที่ใด ถึงเข้าถึงข้อมูลลงลึกในด่านสุวรรณภูมิ และในช่วงปีดังกล่าวนั้น ยังไม่มีการบัญญัติชื่อ ปลาหมอคางดำ น่าจะเป็นเหตุให้ตรวจไม่พบ แล้วหากเป็นเช่นนี้ รายงานการส่งออกปลาหมอคางดำในปีดังกล่าว มาจากที่ไหน และภาครัฐปล่อยให้ปลาที่ชื่อในเอกสารขออนุญาต และเอกสารที่ด่านส่งออกไม่ตรงกันได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะยืนยันได้อย่างไรว่า ปลาที่ส่งออก เป็นปลาอะไร และหากพบหลักฐานการส่งออกจริง ทาง NGO จะรับผิดชอบอย่างไร
ข้อที่ 4) การกล่าวอ้าง ข้อมูลจากวงในราชการว่า การใช้ชื่อ “ปลาหมอสีคางดำ” ซึ่งใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron เพื่อหลบเลี่ยงแสดงหลักฐาน GAP ทำให้ส่งออกได้โดยง่าย ถือเป็นเหตุผลที่น่าตกใจมากหากเป็นความจริง แสดงว่าที่ผ่านมา อาจมีการส่งออกปลาชนิดใดก็ไม่ทราบในชื่อของปลาหมอสีคางดำ แสดงให้เห็นถึงการควบคุมกำกับของภาครัฐที่ไม่เข้มงวดเพียงพอ จึงปล่อยให้มีช่องโหว่ทำให้สัตว์น้ำต่างถิ่นหลุดรอดเข้ามาหรือออกไปได้ ที่สำคัญการอ้างเหตุผลนี้ เหมือนกับกล่าวหาว่า 11 บริษัทส่งออกระบุชื่อปลาเช่นนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรฐาน GAP และ NGO รายนี้กำลังยืนว่า 11 บริษัท แจ้งชื่อหรือใช้เอกสารเท็จในการส่งออก ซึ่งผิดกฎหมาย อย่างนั้นหรือ? เดือดร้อนถึงผู้ส่งออกที่ถึงเวลาต้องออกมาชึ้แจงรายละเอียดให้สิ้นสงสัย และใช้กฎหมายจัดการผู้ที่ทำให้เสื่อมเสียอย่างเด็ดขาด
ข้อที่ 5) การบอกว่าประเทศปลายทางทั้ง 17 ประเทศ มีการกำกับดูแล และทราบว่า ปลาหมอคางดำ เป็นสายพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน จึงยากที่จะอนุญาตนำเข้า ก็น่าสงสัยว่า ประเทศปลายทางน่าจะพิจารณาจากชื่อวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ ดังนั้น จากรายงานการส่งออกที่ระบุว่า เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron ถ้าปลายทางไม่รับจริง ก็คงเป็นรายงานไม่ได้ หรือกำลังบอกว่า ชื่อที่ต้นทางกับปลายทางไม่ตรงกัน หากเป็นเช่นนั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบจะอธิบายปัญหานี้อย่างไร
ข้อที่ 6) การระบุว่าหากมีการส่งออก ก็อยู่ในช่วงปี 2556-2559 แต่ปัญหารุกรานเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2554 แล้ว ซึ่งต้องมาพิจารณาเอกสารราชการที่ระบุว่า พบการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำในปี 2560 แต่การส่งออกอยู่ในช่วง 2556-2559 ทั้ง 11 บริษัทต้องตอบให้ได้ว่า ไปเอาปลามาจากที่ไหน มีการขออนุญาตหรือไม่ จะอ้างว่า ไปจับมาจากแหล่งน้ำสาธารณะก็เป็นไปได้ยาก และหลังจากมีกฎหมายห้ามเพาะเลี้ยงแล้วปลาเหล่านั้นไปไหน หากบอกว่าไม่ใช่ปลาหมอคางดำ แล้วสาเหตุหลังปี 2560 ทำไมจึงไม่มียอดการส่งออกอีกเลย
ข้อที่ 7) นักวิชาการ 2 ท่านที่ถูกอ้างชื่อว่า ไม่เคยเห็นปลาตัวนี้ในสารบบปลาสวยงาม ไม่แน่ใจว่าทั้งสองท่านนั้น จะกล้าการันตีหรือไม่ว่า 11 บ.ส่งออกปลาหมอคางดำ ไม่เคยเพาะเลี้ยงปลาชนิดนี้แน่นอน
ที่สำคัญ ตลาดปลาสวยงาม มีขบวนการลักลอบนำเข้าลำเลียงปลาสวยงามหายากและมีมูลค่าจากต่างประเทศเข้ามา โดยผ่านช่องทางต่างๆ ทั้ง การซ่อนในกระเป๋าเดินทาง หรือใช้กล่องโฟม รวมไปถึงการใช้เอกสารนำเข้าเท็จ ซึ่งหากมีการใช้ชื่อ ปลาหมอสีคางดำ เพื่อให้ส่งออกได้ง่ายขึ้นแล้ว ก็มีโอกาสที่จะใช้ชื่อ ปลาชนิดใดชนิดหนึ่ง นำเข้าปลาหมอคางดำมาเพาะเลี้ยง ป้อนตลาดปลาสวยงาม ซึ่งอาจไม่ใช่ตลาดในประเทศ แต่เป็นการป้อนตลาดส่งออก สะท้อนจากยอดการส่งออกว่า 300,000 ตัว ในระยะเวลา 4 ปี
เพราะฉะนั้น เหตุผลของ NGO ที่พยายามบอกว่า ปลาสวยงาม ไม่ใช่สาเหตุของปัญหา ปลาหมอคางดำ รุกรานนั้น ก็ไม่มีน้ำหนักเพียงพอเช่นกัน ซ้ำยังขยายวงปัญหาและความสงสัยไปยัง 11 บริษัทส่งออก และหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพราะหากเป็นจริง ผู้ที่ถูกกล่าวอ้างทั้งหมดอาจมีความผิดจากการใช้เอกสารเท็จและการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตาม ม.157 ได้
ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องพิสูจน์ประเด็นต่างๆ ให้สิ้นสงสัย ควบคู่ไปกับพยายามจัดการควบคุมปัญหาโดยเร็วที่สุด รวมทั้งวางแผนป้องกันปัญหาสัตว์ต่างถิ่นรุกรานไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต…