ส่งออกสัตว์น้ำต้องระบุแหล่งที่มา ประเด็นที่ถูกมองข้าม

ประเด็นปลาต่างถิ่นห้ามเพาะเลี้ยง แต่กลับส่งออกได้ ยังคงสร้างความสงสัยให้กับสังคมว่า ภาครัฐหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบมีมาตรการควบคุมดูแลกำกับอย่างเข้มงวดหรือไม่ โดยเฉพาะการลักลอบนำเข้ามาเพาะเลี้ยง จนสามารถส่งออกได้ มีการบันทึกข้อมูล แต่ไม่เอะใจ ไม่ตรวจสอบ ซึ่งหากไม่มีกรณีการแพร่ระบาดของ “ปลาหมอคางดำ“ ข้อมูลเหล่านี้ก็คงไม่ได้รับความสนใจ ทั้งๆ ที่เป็นสัตว์ต่างถิ่นที่พร้อมสร้างปัญหากับระบบนิเวศ
เมื่อพิจารณา พรก.ประมง ปี 2558 ที่กำหนดให้ระบุแหล่งที่มาของการส่งออกด้วย แต่ทั้ง 11 บริษัท ผู้ส่งออกกลับไม่ได้บอกว่า ปลาที่ส่งออกไปนั้นมาจากที่ใด ทั้งที่เป็นปลาต่างถิ่น แล้วนำมาเพาะเลี้ยงได้อย่างไร โดยไม่มีการขออนุญาตนำเข้า เกิดเป็นคำถามว่ามีการนำเข้ามาถูกต้องหรือไม่ ต่อมา ปี 2561 จึงมีประกาศ ห้ามเพาะเลี้ยง นำเข้า ส่งออก บริษัทผู้ส่งออกเหล่านั้น มีการทำลายปลาอย่างไร และได้นำส่งแก่หน่วยงานรัฐหรือไม่ แล้วมั่นใจการดำเนินงานของบริษัทเหล่านั้นได้อย่างไร

น่าแปลกที่ข้อสงสัยเหล่านี้ ไม่ได้รับความสนใจ จาก NGO ที่เกาะติดและพยายามหาต้นตอปัญหาเลย เพราะพุ่งเป้าไปที่ผู้ขออนุญาตนำเข้าอย่างถูกต้องเท่านั้น โดยไม่มองความเป็นไปได้อื่น แต่กลับยอมรับเหตุผลว่า การส่งออกของ 11 บริษัท เป็นปลาชนิดอื่น แต่เจ้าหน้าที่ชิปปิ้งกรอกข้อมูลชื่อปลาผิดมาตลอด 4 ปี ในทุกรอบการผิด โดยไม่มีการตรวจสอบ หรือแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง ใดๆ เลย
แม้แต่คณะอนุกรรมการธิการฯ ที่ทำงานหาสาเหตุของปัญหานี้ ยังอดสงสัยไม่ได้ เพราะขณะนั้น ไม่มีชื่อเรียก ปลาหมอคางดำ กรมประมงแนะนำให้ใช้ชื่อ ปลาหมอเทศข้างลาย ซึ่งตรงกับชื่อส่งออกที่ระบุ เป็นปลาหมอเทศข้างลายเช่นกัน แต่เมื่อสอบถามไปยังบริษัทที่ส่งออกได้คำตอบว่า เป็น ปลาหมอสีมาลาวี หมายความว่า การกรอกชื่อว่า ปลาหมอเทศข้างลาย มีโอกาสเป็นปลาชนิดใดก็ได้ที่มีลักษณะคล้ายๆ ปลาหมอ หรือปลาหมอเทศ แล้วเชื่อได้อย่างไรว่า ปลาที่ส่งออกไม่ใช่ปลาหมอคางดำจริงๆ ตราบใดที่ยังไม่ได้ตามไปจนถึงปลายทาง
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการรุกรานของปลาต่างถิ่นอื่นๆ ยกตัวอย่าง ปลาหมอบัตเตอร์ ชื่อสามัญ Zebra tilapia ชื่อวิทยาศาตร์ Heterotilapia buttikoferi มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา ที่พบการแพร่กระจายพันธุ์ในเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ และเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี มีนิสัยค่อนข้างดุร้าย กินได้ทุกอย่าง ทั้งไข่ปลา และลูกปลาชนิดอื่น ทำให้พันธุ์ปลาดั้งเดิมลดน้อยลง และเข้าไปแทนที่ปลาถิ่นบางชนิด เช่น ปลาแรด
ปลาชนิดนี้ถือเป็นอีกภัยรุกรานที่ยังไม่มี NGO รายใด เข้ามาทำงานหาต้นตอ เพราะจากการสอบถามชาวประมงในพื้นที่ให้ข้อมูลว่า อาจมีบางรายนำเข้ามาเลี้ยงในกระชัง หรือมีนายทุนนำมาให้เกษตรกรเลี้ยงแล้วจะรับซื้อกลับไปขาย “เป็นปลาสวยงาม” ซึ่งในระหว่างการเลี้ยงอาจหลุดออกจากกระชังไปสู่แหล่งน้ำ แม้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดเป็นสัตว์น้ำห้ามนำเข้า ส่งออก หรือเพาะเลี้ยง มาตั้งแต่ปี 2561 ผู้ฝ่าฝืนมีโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ทุกวันนี้ปริมาณก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาการลักลอบนำเข้าปลาต่างถิ่น มาเพาะเลี้ยงแบบผิดกฎหมายมีอยู่จริง และหาต้นตอได้ยาก เพราะไม่มีรายงานข้อมูลการขออนุญาตนำเข้าเหมือนกับปลาหมอคางดำ จึงยอมรับสาเหตุว่า มาจากการลักลอบนำเข้าได้ เพราะจับมือใครดมไม่ได้
เช่นเดียวกับ “ปลาหมอมายัน” (Mayan cichlid) ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Mayaheros urophthalmus มีถิ่นกำเนิดในเขตพื้นที่น่านน้ำแอตแลนติกตอนกลาง ของประเทศเม็กซิโด เบลีซ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส และนิการากัว พบว่าเติบโตได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อย กินลูกปลาและสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร มีนิสัยดุร้ายและหวงถิ่น โดยมีชาวประมงจับได้ในแหล่งน้ำสาธารณะไม่ต่างจากปลาหมอคางดำ ยิ่งตอกย้ำว่า การลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่นมีอยู่ แต่ระบบการควบคุมของภาครัฐไม่เข้มแข็งพอที่จะป้องกันได้ และยังขาดการตรวจสอบที่เข้มงวด มิฉะนั้น คงไม่ปล่อยให้ปลาห้ามเพาะเลี้ยงมีการส่งออก ดังที่ผ่านมา
ดังนั้น ปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นรุกราน จำเป็นต้องเริ่มจากดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่ปล่อยให้ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้นมาแล้วค่อยลงมือ และต้องวางระบบการป้องกันการลักลอบนำเข้าสัตว์ต่างถิ่น รวมทั้งติดตามโครงการที่ได้รับอนุญาตอย่างเข้มงวด ตรวจติดตามการส่งออกสัตว์น้ำ ทำตาม พรบ.ประมง ที่ต้องระบุแหล่งที่มาการส่งออกให้ชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหา ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต…