ภาครัฐดูแคลนภาคปศุสัตว์ โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร

การดูแคลนภาคปศุสัตว์โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้สะท้อนผ่านอัตราการเจริญเติบโตของ GDP ในปี 2566 เพียงแค่ 1.8% ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลังแถลง เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา สวนทางกับการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระบุไว้ตอนต้นปี 2566 ว่าประเทศไทยจะมีการขยายตัว 2.4% มากกว่าความเป็นจริงไป 0.6%

การคาดการณ์ของ ธปท. พลาดเป้า ในมุมของผู้เขียนจึงเกิดคำถามว่า แบบจำลองที่ใช้พยากรณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้รวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคปศุสัตว์ไปด้วยหรือไม่ ถ้ารวม…ภาคปศุสัตว์ถูกให้น้ำหนักในแบบจำลองมากน้อยเพียงใด พิจารณาถึงผลกระทบของประเด็นปัญหาการลักลอบเนื้อหมูเถื่อนและสินค้าปศุสัตว์เถื่อนต่าง ๆ หรือไม่?

ผู้เขียนอดคิดไม่ได้ว่า ธปท. เหมือนจะดูแคลน ผลกระทบทางเศรษฐกิจอันเกิดจากการลักลอบนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมูเถื่อน โคเนื้อเถื่อน ตีนไก่เถื่อน แพะเถื่อน ฯลฯ สารพัดเถื่อนที่เกิดขึ้น สร้างหายนะให้กับเศรษฐกิจไทยเกินกว่าที่หลายคนคาดคิด เพราะมันทำลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจของผู้เลี้ยงปศุสัตว์โดยเฉพาะหมู โคเนื้อ และแพะจนท้อแล้วท้ออีก และประเด็นหมูเถื่อนถือว่าร้อนแรงที่สุด แต่กว่าจะได้รับการเหลียวแลจากรัฐ ก็นานพอที่จะทำให้ผู้เลี้ยงขาดทุนถ้วนหน้าไม่เว้นกลุ่ม integrated farm  

ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ จึงไม่แปลกที่ภาคธุรกิจและฟากรัฐบาลจะเห็นแย้งกับผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ที่มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.50% ต่อ อย่างน้อยก็ไม่เป็นเอกฉันท์ ประชุมครั้งหน้าคงได้ลุ้นลดอัตราดอกเบี้ย

สถานการณ์อุตสาหกรรมหมูปี 2566 เปรียบเสมือนภาพจำลองในอนาคต โดยมีดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เป็นตัวชี้วัด เนื่องจากรายการสินค้ากลุ่มอาหารสดที่อิงกับราคาหมูจำนวน 6 รายการคือ หมูเนื้อแดง มันหมูแข็ง ซี่โครงหมู ไส้กรอกหมู กุนเชียง และหมูหยอง เป็นตัวแทนของเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ที่คนไทยนิยมบริโภค CPI กับราคาหมูจึงมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างสูง

จากภาพที่ 1 จะเห็นว่าช่วงปี 2565 เป็นปีที่ CPI เพิ่มสูงขึ้นมากโดยมีสาเหตุสำคัญมาจากราคาเนื้อสุกรที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการระบาดของโรค ASF หากแต่หลังจากนั้น CPI ก็คงตัวในระดับสูงอันเนื่องจากราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ธัญพืชหลายชนิดปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

แม้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ของไทยเดือนมกราคม 2567 เท่ากับ 106.98 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงไปได้ 1.1% สาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ขณะที่ปัจจัยสำคัญคือกลุ่มอาหารสดที่ยังคงลดลงต่อเนื่อง แต่เดือนกุมภาพันธ์ราคากลุ่มอาหารสดจะปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากปัจจัยเทศกาลตรุษจีน แต่คงสู้เทศกาลปีใหม่ไม่ได้ อัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนมีนาคม คงลดต่อเนื่องตามที่ กนง. ต้องการ

ภาพที่  1 ราคาสุกรหน้าฟาร์มกับดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ยรายปี 2541 – 2566

ถ้าพิจารณาจากราคาประกาศหมูขุนมีชีวิตหน้าฟาร์มเมื่อพระที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 อยู่ในช่วง 66 – 76 บาท/ก.ก. โซนเมืองหลวงของหมู ณ ภาคตะวันตก ซื้อขายจริงที่ 66 บาท/ก.ก. และทุกพื้นที่ของประเทศไม่มีที่ใดไปถึงฝั่งฝันที่ 80 บาท/ก.ก. ผู้เลี้ยงหมูทุกคนทราบดีว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งตอนนี้ราคาลูกสุกรขุน (16 ก.ก.) ปรับตัวลงนำไปก่อนแล้ว

สถานการณ์หลังตรุษจีนคงซึมยาวต่อเนื่องไปจนถึงกลางปีจากสถานการณ์หมูล้น เหตุเพราะช่วงหลังการระบาดโรค ASF หลายฟาร์มกลับมาเปิดฟาร์มและบางส่วนขยายฟาร์มโดยไม่ได้คาดคิดว่าหมูเถื่อนจะเข้ามามากมายขนาดนี้ หมูฟาร์มจำนวนไม่น้อยถูกเก็บไว้ในห้องเย็นเพื่อรอราคา ซึ่งยังคงแช่ค้างอยู่ในห้องเย็นชะลอการขาย เดาว่าตรุษจีนที่ผ่านมาไม่น่าจะปล่อยของหมด ซึ่งข่าวหมูเถื่อนหลังจากนี้คงเงียบหาย คงมีแต่ข่าวหมูไทยล้นตลาด ด้วยเหตุที่ทุกฝ่ายพยายามผลักดันให้เกษตรกรมั่นใจที่จะลงหมูเข้าเลี้ยงและสนับสนุนให้ขยายกำลังผลิตก่อนหน้านี้ 

ประเด็นของปี 2567 คงไม่ใช่เรื่องราคาหมูแพงเหมือนสองปีก่อนหน้านี้ ซึ่งคงไม่ตกต่ำตลอดทั้งปีดังเช่นปี 2566 แต่ก็ไม่ได้สวยงามนัก เพราะต้นทุนการผลิตค้ำคอ เนื่องจากเหตุปัจจัยสำคัญคือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ขึ้นมาต่อเนื่องก่อนหน้านี้ คมดาบสำคัญที่ลดทอนกำลังซื้อของภาคประชาชน โดยเฉพาะ “คนผ่อนบ้าน” ต้องเตรียมเงินงวดส่งเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้น เงินในกระเป๋าเพื่อการจับจ่ายใช้สอยจึงหดหาย ราคาเนื้อหมูแม้จะถูกจนแทบจะขาดทุน ก็ยังถือว่าแพงอยู่ดีกว่าภาระหนี้สินที่มีอยู่ของครัวเรือน

ขณะเดียวกัน การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เป็นอีกต้นทุนที่ทางผู้เลี้ยงต้องเผชิญนอกเหนือจากต้นทุน ค่าพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ค่าอาหารสัตว์จะไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ถือว่าคงตัว ไม่ได้ลดลงได้มากนัก ฟาร์มที่มีสัดส่วนเงินกู้มากเพื่อนำมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนคงกุมขมับไม่ต่างจากผู้บริโภค

ปี 2566 สินค้าปศุสัตว์เถื่อนเต็มประเทศ ครอบครัวปศุสัตว์มีหนี้สินพอกพูนถ้วนหน้า หน้ามืดคิดอ่านอะไรไม่ออก สุดแสนจะย้อนแย้งกับ 5 รางวัลเลิศรัฐ จากสำนักงาน ก.พ.ร. ให้กับกรมปศุสัตว์เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 แต่ จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถดำเนินการกับผู้กระทำผิดคดีหมูเถื่อนได้ จนผู้เลี้ยงหมูถอดใจ หมดสิ้นแล้วความหวัง แล้วเช่นนี้จะหวังให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างไร เมื่อขบวนการทุจริตคอร์รัปชันคือกลุ่มปลวกขนาดใหญ่ที่กัดเซาะบ่อนทำลายเศรษฐกิจไทย คงไม่ต้องหวังว่าจะได้กำลังเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะกระตุ้นอย่างไรก็ไม่ขึ้น หากรัฐบาลยังคงดูแคลนความสำคัญผู้เลี้ยงหมูเช่นนี้

โดย ผศ.ดร.สุวรรณา สายรวมญาติ

ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related News