จุดอ่อนภาครัฐ ทำหมูเถื่อนทะลักไทย

สืบเนื่องจากการชุมนุมของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 โดยมีสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติเป็นแม่ทัพ นำพลเข้ายื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลรักษาการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกรมศุลกากรให้ปราบปรามการทุจริตลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” ที่กัดกร่อนผู้เลี้ยงหมูไทยมาตลอดตั้งแต่ปี 2565 ถึงปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าต้องมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรู้เห็นเป็นใจเปิดไฟเขียวส่องทางให้ของผิดกฎหมายผ่านด่านเข้าไทยมาแบบสบายๆ เผยจุดอ่อนและช่วงโหว่ของระเบียบการผ่านพิธีการทางศุลกากรนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร และให้เร่งทำลายหมูเถื่อนที่จับกุมล่าสุด 4.5 ล้านกิโลกรัมจาก ตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 161 ตู้

หลักฐานประจักษ์มีมูลให้มั่นใจว่า มีการใช้ช่องว่างทางกฎหมายปิดตาตัวเอง แล้วเปิดทางให้ “หมูเถื่อน” แช่แข็งในตู้คอนเทนเนอร์แบบเย็นได้รับสิทธิ์ Green Line ผ่านพิธีการศุลกากรออกจากท่าเรือแหลมฉบังโดยไม่ต้องถูกตรวจสอบ ซึ่งขั้นตอน “สีเทา” เหล่านี้ แหล่งข่าวที่วิ่งงานนำสินค้าออกจากท่าเรือให้ข้อมูลว่าต้องจ่ายค่าน้ำร้อน น้ำชาตู้ละ 550,000 บาท ก็จะทำให้ทางโรยด้วยกลีบกุหลาบ

ต่อกรณี Green Line นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร รับปากว่าจะเร่งปรับรายละเอียดพิธีการ (profile) กลุ่มสินค้าอาหารแช่แข็ง (Frozen Foods) ให้เข้าระบบ Red Line ทั้งหมด โดยอาจจะยกเว้นกลุ่มผู้นำเข้าที่ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย และทุกการกระทำผิดและตู้ตกค้าง คดีจะไม่จบที่กรมฯ แต่จะส่งต่อไปสำนักงานสอบสวนกลาง พร้อมยืนยัน “ของกลาง” ที่ยึดได้จะไม่หลุดรอดออกไปได้

อย่างไรก็ตาม บริษัทนาสาครห้องเย็น จำกัด ที่ถูกจับกุมเมื่อเดือนตุลาคม 2565 เป็นสถานที่เก็บหมูเถื่อน 160 ตัน นั้น ก็ได้รับการจัดชั้นอยู่ในกลุ่มผู้นำเข้าที่ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย

ความสูญเสียทางภาษีต้องรอกรมศุลกากรให้ข้อมูล แต่ความสูญเสียของผู้เลี้ยงหมู หากคำนวนเบื้องต้นว่าหมูเถื่อนที่เล็ดลอดออกไปนอกจากท่าเรือจะมีกำไรได้ตู้ละ 1 ล้านบาท โดยประเมินว่ามีการลักลอบนำเข้ามามากกว่า 300 ตู้ (จากที่จับกุมล่าสุด 161 ตู้ รวมกับตู้ตกค้างที่ท่าเรือยังไม่ได้ตรวจสอบอีก 100 ตู้ และตู้ที่เล็ดลอดออกไปได้ก่อนหน้านี้) ชัดเจนว่ากำไร 300 ล้านบาท หากคิดเป็นมูลค่าเนื้อหมูของกลางที่จับกุมได้จับได้ระหว่างปี 2565- เม.ย. 2566 จำนวน 5,594.15 ตัน (5.594 ล้านกิโลกรัม) เฉลี่ยกิโลกรัมละ 150-180 บาท จะคิดเป็นมูลค่า 839 – 1,007 ล้านบาท ที่ตัดโอกาสหมูไทย ทำลายเศรษฐกิจประเทศ

นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวในการชุมนุมดังกล่าว ว่า ตั้งแต่เป็นนายกสมาคมฯมา ครั้งนี้ผู้เลี้ยงหมูสาหัสมาก ขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนเข้ามาจำหน่ายตั้งแต่ปี 2565 ที่เนื้อสุกรมีราคาเพียง 50 บาทต่อกิโลกรัม และยังกดราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มที่เกษตรกรขายได้ขณะนี้ลดลงเหลือ 70 บาทต่อกิโลกรัม สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่ 100 บาทต่อกิโลกรัม  นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์ยกเลิกเงื่อนไขการนำเข้าข้าวสาลี ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มาผสมในสูตรอาหารสัตว์ทดแทนข้าวโพด เนื่องจากราคาสูงสูดเป็นประวัติการณ์เฉลี่ย 12 บาทต่อกิโลกรัม รวมถึงกระทรวงการคลังให้ยกเลิกภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% เพื่อความเสมอภาคกับผู้นำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองไม่เสียภาษีนำเข้า แต่ยังสามารถขายผลพลอยได้กากถั่วเหลืองได้อีก

จากข้อมูลของสมาคมฯ และกรมศุลกากร พิจารณาตามข้อเท็จจริง การป้องกัน “หมูเถื่อน” ลักลอบเข้าประเทศ คือ ป้องกันที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพราะเป็นการสกัดกั้นต้นทางการนำเข้า สามารถดำเนินการได้ทันที ขอเพียงให้เจ้าหน้าที่ศุลการักษ์ตรวจสอบสินค้าด้วยความโปรงใส และส่งฟ้องดำเนินคดีภายใต้ พรบ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 ให้ส่งผลต่อการจับกุมผู้นำเข้าตัวจริงหรือหัวหน้าขบวนการ ที่ทำลายห่วงการผลิตอาหารมั่นคงของไทย และเบียดเกษตรกรไทยหลายสิบรายต้องเลิกเลี้ยงเพราะทนขาดทุนสะสมไม่ไหว ฝากเป็นโจทย์กับรัฐบาลใหม่ให้ตรวจสอบการทำงานหน่วยงานภาครัฐให้เกิดความเป็นธรรมและโปรงใสอย่างแท้จริง./

โดย สมสมัย หาญเมืองบน นักวิชาการอิสระ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related News