กรมศุลกากร ต้องใส่ใจ “หมูเถื่อน” ร่วมมือกรมปศุสัตว์ เร่งปราบให้สิ้นซาก     

               “หมูเถื่อน” ถือเป็นภัยร้ายที่หลอกหลอนธุรกิจการเลี้ยงสุกรมานานกว่า 1 ปี หลังจากไทยมีรายงานการพบโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ โรค ASF เมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา ปริมาณสุกรขุนลดลงจาก 19 ล้านตัว เหลือเพียง 13 ล้านตัว ไม่เพียงพอกับความต้องการตลาด ส่งผลให้ราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มและเนื้อหมูปรับเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ เปิดโอกาสให้เหล่ามิจฉาชีพฉกฉวยโอกาสลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” จากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มีแหล่งผลิตมาจากบราซิล เยอรมนี และอิตาลี มาเทขายแล้วฟันกำไรจากส่วนต่างราคา

แต่ “หมูเถื่อน” สร้างความเสียหายทุกมิติ เริ่มตั้งแต่การเทขายในราคาถูก แย่งตลาดกดดันให้ราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มตกต่ำ สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ และการยกระดับระบบไบโอซีเคียวริตี้ เพื่อป้องกันโรค เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูหลายรายต้องชะลอการเลี้ยง เพราะเกรงว่า จะขาดทุนจากภาวะต้นทุนการผลิตสูง ขณะที่ผู้บริโภคที่เสี่ยงกับการบริโภค ”หมูเถื่อน” ที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรค หรือสารเร่งเนื้อแดง ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่รู้ตัว

               ที่สำคัญ ในช่วง 8 เดือนแรก ของปี 2565 มีการตรวจจับทำลายเพียงไม่กี่ครั้ง จนเกษตรกรผู้เลี้ยงต้องแถลงข่าวชี้แจงพร้อมขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานปราบปรามหมูเถื่อนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกรมปศุสัตว์ที่ทำงานหนัก เดินหน้าตรวจจับดำเนินคดีห้องเย็นที่รับฝาก “หมูเถื่อน” รวมถึงดักจับระหว่างการขนส่ง อีกทั้งปรับข้าราชการผู้รับผิดชอบ จนเหล่ามิจฉาชีพต้องปรับรูปแบบการลักลอบไปขึ้นของที่ท่าเรือประเทศเพื่อนบ้านก่อนขนข้ามชายแดนมาแบบกองทัพมด ขณะที่ห้องเย็นก็ไม่กล้ารับฝากชิ้นส่วนหมูที่ไม่มีเอกสารรับรอง

ผลการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายปราบปรามการลักลอบนำเข้าเครื่องในและเนื้อสุกร ตลอดปี 2565 ของกรมปศุสัตว์ มีทั้งหมด 42 คดี ปริมาณชิ้นส่วนสุกรที่จับได้ 1,089,514 กิโลกรัม มูลค่ารวมกว่า 219 ล้านบาท การดำเนินการกับซากสุกรของกลาง แบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้ 1. ส่วนที่ทำลายไปแล้ว จำนวน 179,612 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 71 ล้านบาท  2. อยู่ในระหว่างดําเนินคดี จำนวน 186,116 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 25 ล้านบาท เมื่อคดีสิ้นสุดจะได้ดำเนินการทำลายต่อไป และ 3. ส่วนที่ทำลายในวันที่ 12 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา จำนวน 723,786 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 123 ล้านบาท จนตัวแทนผู้เลี้ยงหมูไทยออกมาขอบคุณการดำเนินการที่เข้มข้นของกรมปศุสัตว์ ที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรในการประกอบอาชีพนี้ต่อไป

ตรงกันข้าม ผลการดำเนินงานตรวจจับ “หมูเถื่อน” จากฝั่ง กรมศุลกากร อีกหน่วยงานสำคัญที่เปรียบเสมือนเป็นหน้าด่านของสินค้านำเข้าทุกชนิดที่มีการแถลงข่าวการตรวจจับเพียงไม่กี่ครั้งในปีที่ผ่านมา และเป็นการจับระหว่างการขนส่งและที่ห้องเย็นทั้งสิ้น ไม่เคยตรวจจับได้ที่ท่าเรือเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถือเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจว่า หมูเถื่อนผิดกฎหมายผ่านจากท่าเรือไปห้องเย็นหรือโดยจับระหว่างขนส่งได้อย่างไร? ทั้งๆ ที่ ไม่มีเอกสาร ถ้าปริมาณที่จับได้มีเพียงเล็กน้อยก็อาจจะพอบอกได้ว่า ที่ตรวจไม่พบเพราะมีการสำแดงเท็จ เป็นอาหารทะเล หรืออาหารสัตว์ แต่ปีที่ผ่านมา มีการตรวจจับถึง 42 คดี ปริมาณกว่า 1,000 ตัน และมีรายงานข่าวต่อเนื่อง จึงเป็นคำถามว่า กรมศุลกากร ให้ความสำคัญกับ “หมูเถื่อน” มากน้อยเพียงใด ?

ทั้งๆ ที่ “หมูเถื่อน” ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพอนามัยของคนไทย ไม่ต่างจาก ยาเสพติด ที่ไม่ว่า จะซุกซ่อนมาแบบใด กรมศุลกากร ก็ตรวจพบจนถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ดังนั้น การจัดการปัญหานี้ให้เด็ดขาด คงต้องเริ่มจากการเห็นถึงความสำคัญของ “หมูเถื่อน” ว่า สร้างความเสียหายได้ไม่แตกต่างจากยาเสพติด จำเป็นต้องตรวจอย่างเข้มงวดในทุกตู้คอนเทรนเนอร์ที่ต้องสงสัย โดยอาจคัดกรองจากแหล่งที่มา และชนิดสินค้าที่สำแดง เพื่อประหยัดเวลาและเจ้าหน้าที่ พร้อมกันนี้ ยังต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนขยายผลไปให้ถึงตัวการใหญ่แล้วจับดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ใช่แค่จับคนขับรถขนส่ง หรือเจ้าของห้องเย็นที่รับฝากสินค้าแล้วจบไป เพราะตราบใดที่ยังสาวไม่ถึงผู้นำเข้า ก็ไม่มีทางที่จะปิดตายปัญหาหมูเถื่อนได้  

มั่นใจว่า หากกรมศุลกากรยกระดับให้ “หมูเถื่อน” มีความสำคัญเทียบเท่ากับ “ยาเสพติด” ที่ต้องเร่งจัดการอย่างจริงจัง เมื่อรวมกับมาตรการที่เข้มงวดจากกรมปศุสัตว์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะช่วยให้การปราบปรามมิจฉาชีพลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” ประสบความสำเร็จ เป็นการล้างบางปัญหาให้หมดไปจากธุรกิจการเลี้ยงหมูไทย ช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงมีอาชีพ ผู้บริโภคได้รับประทานเนื้อหมูที่ปลอดภัยต่อไป…

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related News