TS Farm ยัน “บีฟมาสเตอร์-บราห์มัน” ตอบโจทย์ผู้เลี้ยงโคเนื้อ

การเลี้ยงโคเนื้อในประเทศไทย มีตัวเลือกหลายสายพันธุ์ให้เกษตรกรเลือกนำมาใช้ปรับปรุงพัฒนาพันธุ์ ส่งผลให้มีฟาร์มที่เดินหน้าคัดเลือกและพัฒนาโคพันธุ์แท้ เพื่อเป็นต้นน้ำให้ผู้เลี้ยงโคเนื้อนำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและผลตอบแทน เช่นเดียวกับ TS Farm ที่มุ่งมั่นพัฒนาโคพันธุ์แท้ จนได้รับการยอมรับเป็น 1 ใน 12 นักปรับปรุงพัฒนาพันธุ์โคเนื้อของไทย ที่ยืนยันว่า โค “บีฟมาสเตอร์” และ “บราห์มัน” เป็นพันธุ์ที่ตอบโจทย์ผู้เลี้ยงโคเนื้อไทย

คุณสิทธิพงศ์ กฤชภากรณ์ (พี่กบ) เจ้าของ TS FARM 339 หมู่ 12 ตำบลคลองขลุง อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร 62120 เปิดเผยว่า ทำฟาร์มโคเนื้อมากว่า 30 ปี เริ่มจากการเลี้ยงโคเนื้อลูกผสมพื้นเมือง 10 กว่าตัว ขยายพันธุ์ผลิตลูก จำหน่ายให้เกษตรกร ต่อมาพบว่า โคลูกผสมให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะราคาโคลูกผสมอยู่ที่ตัวะล 25,000 บาท ต่างจากโคบราห์มันเลือด 100 เปอร์เซ็นต์ ที่มีราคา 50,000-70,000 บาท ในขณะที่ต้นทุนการผลิตไม่แตกต่างกัน จึงปรับมาเลี้ยงโคพันธุ์บราห์มันแท้ โดยนำมาจากกรมปศุสัตว์
แต่หลังจากเลี้ยงมาได้ระยะหนึ่ง ก็ประสบปัญหาราคาโคบราห์มันตกต่ำ จึงปรับมาเลี้ยงโคลูกผสมยุโรป โดยใช้พันธุ์ชาร์โรเล่ย์มาผสม เพราะช่วงนั้นยังขายได้ราคา แต่ต่อมาก็พบว่า การพัฒนาในแนวทางนี้ก็ไม่ตอบโจทย์ของฟาร์ม เพราะขาดแคลนพ่อพันธุ์ดีในการนำมาปรับปรุงพันธุ์ รวมถึงแหล่งรับซื้อก็ไม่ชัดเจน ทำให้ต้องหาแนวทางใหม่ ก็มองหาน้ำเชื้อพ่อพันธุ์วากิวมาผสม จึงเป็นโอกาสที่ได้พบกับ ผู้นำเข้าน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ “บีฟมาสเตอร์” จากอเมริกา ซึ่งขณะนั้น สมาคมบีฟมาสเตอร์อเมริกา มีโครงการส่งเสริมการใช้น้ำเชื้อพ่อพันธุ์พอดี และฟาร์มโชคดีที่ได้รับการคัดเลือก จึงนำน้ำเชื้อมาผสมในแม่ลูกผสมยุโรป พบว่า ลูกโคที่ได้มีการตอบสนองทางพันธุกรรมที่ดีขึ้น ทั้งการเจริญเติบโต และปริมาณน้ำนม ทำให้TS Farm เป็นฟาร์มแห่งแรกที่มีโคบีฟมาสเตอร์ที่เกิดในไทยและเอเชีย
“หลังจากปรับปรุงพัฒนาพันธุ์ต่อเนื่อง พบว่า การใช้น้ำเชื้อบีพมาสเตอร์ผสมกับแม่พันธุ์ลูกผสมยุโรป ช่วยตอบโจทย์การเลี้ยงโคเนื้อให้เกษตรกร เพราะได้ลูกที่โครงสร้างและการเจริญเติบโตดีขึ้น เหมาะสมกับการเลี้ยงในไทย เพราะกินเก่ง กินง่าย ปรับตัวได้ดี ทนต่อสภาพแวดล้อม อุปนิสัยเชื่อง ถือเป็นจุดเด่นสำคัญที่ตอบโจทย์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ” คุณสิทธิพงศ์กล่าว
คุณสิทธิพงศ์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี โคบราห์มัน ถือเป็นโคพื้นฐานที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในเมืองไทย เพราะเป็นโคที่ถูกพัฒนาพันธุ์ในเมืองร้อน เพียงแต่เมื่อนำมาผลิตลูกผสมเทียบกับลูกผสมยุโรป และบีพมาสเตอร์ อัตราการเจริญเติบโตอาจด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเป็น บราห์มันพันธุ์แท้ ก็มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ความสมบูรณ์พันธุ์ดี ซึ่งมองว่า โคบราห์มันยังมีโอกาสในการพัฒนาไปได้อีกมาก เพราะที่ผ่านมา ไทยปรับปรุงพัฒนาพันธุ์โคเนื้อมากว่า 60 ปีแล้วแต่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์นำน้ำเชื้อมาผสมเทียมให้เป็นหลัก จึงทำให้การพัฒนาพันธุ์ไปไม่ได้ดีเท่าที่ควร ดังนั้น กรมปศุสัตว์ควรวางบทบาทเป็นผู้ชี้แนะให้คำปรึกษากับเกษตรกร สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ เพื่อให้คัดเลือกโคที่เหมาะสมกับฟาร์ม เพราะการปรับปรุงพันธ์โคที่ดี ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองด้วยถึงจะประสบความสำเร็จ
โคบราห์มัน มีเสน่ห์ตั้งแต่ประวัติการพัฒนาพันธุ์จากโคอินเดีย กระทั่งถูกนำไปปรับปรุงพันธุ์ต่อที่อเมริกาจนกลายเป็นโคที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนและนำกลับมาเลี้ยงที่เอเชียอีกครั้ง ทำให้มีความรู้สึกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของบ้านเรา จึงมีโอกาสในการพัฒนาพันธุ์ตามความต้องการของตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักปรับปรุงต้องให้ความสำคัญ เพราะหากพัฒนาในแนวทางของตนเองอย่างเดียวก็อาจจะขายไม่ได้ ดังเช่นทุกวันนี้ ที่ผู้เลี้ยงนิยมโคบราห์มันที่ความสูงลดลง แต่ตัวหนาใหญ่กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ขาสั้นลง ซึ่งต่างจากอดีตที่ต้องการโคตัวใหญ่ สูง กระดูกใหญ่ ที่อาจไม่ตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจมากนัก เพราะโคตัวใหญ่ก็จะโตช้า สมบูรณ์พันธุ์ช้า เป็นสัดพร้อมผสมช้า แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่อาหารสมบูรณ์เพียงพอก็อาจเลี้ยงได้ ดังนั้น ผู้เลี้ยงต้องประเมินว่า ฟาร์มเหมาะกับโคแบบใด ถ้าอยู่ในแหล่งอาหารมากก็เลี้ยงตัวใหญ่ได้ แต่ถ้าอาหารมาสมบูณ์ ก็อย่าเลี้ยงตัวใหญ่มาก เพื่อสะดวกต่อการดูแลจัดการและทำให้โคให้ผลผลิตดี
ปัจจุบัน TS Farm มีโคทั้งหมดประมาณ 500 ตัว แบ่งเป็น พันธุ์บราห์มัน 60 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์บีฟมาสเตอร์ 40 เปอร์เซ็นต์ มีแปลงหญ้า 1,000 ไร่ แบ่งเป็นแปลงปลูกตัด 400 ไร่ และแปลงปล่อยแทะเล็ม 600 ไร่ เป็นฟาร์มผลิตพ่อแม่พันธุ์เป็นหลัก มีลูกผสมบางส่วนที่มาจากการพัฒนาบีพมาสเตอร์ ส่วนบราห์มันเลี้ยงพันธุ์แท้ทั้งหมด เน้นขายเป็นพ่อแม่พันธุ์เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้ปรับปรุงพันธุ์ต่อไป
การปรับปรุงพัฒนาพันธุ์ของฟาร์ม เน้นโคขนาดกลาง เพราะสมบูรณ์พันธุ์ดี หลังหย่านมลูกได้ 2 เดือน ก็เป็นสัดพร้อมผสมได้แล้วต่างจากโคขนาดใหญ่ ที่อาจต้องใช้เวลามากกว่า 6เดือน หลังหย่านมกว่าจะแสดงอาการเป็นสัดอีกครั้งในขณะที่การปรับปรุงพันธุ์บีฟมาสเตอร์ก็เน้นขนาดกลาง ซึ่งตอบโจทย์การบริโภคของคนไทยที่มากกว่า90เปอร์เซ็นต์ นิยมบริโภคโคที่น้ำหนักประมาณ 600 กิโลกรัม มีบางส่วนเท่านั้นที่ต้องการโคตัวใหญ่น้ำหนัก 800-900 กิโลกรัมขึ้นไป
เมื่อเปรียบเทียบโคลูกผสมบีฟมาสเตอร์กับพันธุ์บราห์มัน มีความแตกต่างกัน เพราะลูกผสมบีฟมาสเตอร์โตไวกว่า ตอบสนองต่ออาหารข้นได้ดีกว่า แต่ในบราห์มันพันธุ์แท้ดีนะ ส่วนคุณภาพซาก ภาพรวมลูกผสมบีฟมาสเตอร์ดีกว่าลูกผสมบราห์มัน แต่ในโค 1ตัว โคสวยกับโตเร็วมีความแตกต่างกัน ดังนั้น คนเลี้ยงต้องเข้าใจว่า โคลักษณะนี้เลี้ยงว่าสวยตรงตามสายพันธุ์เหมาะกับการใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์กับโคที่ตอบสนองกับอาหารในด้านเศรษฐกิจมีความแตกต่างกัน โดยโคสวยหากหนังบางก็ดูไม่สวย มีความเป็นพันธุ์แท้น้อย เพราะหนังบาง กระดูกเล็ก แต่ในขณะที่โคขุนต้องการโคหนังบาง เพราะหนังเป็นส่วนที่ไม่มีราคาเกษตรกร เครื่องในมาก คนชำแหละก็ได้ทั้งหมด จึงต้องเลี้ยงโคที่เนื้อมาก กระดูกเล็ก ก็จะได้ความคุ้มค่ามากกว่า ถือเป็นรายละเอียดที่ต้องใส่ใจ หากทำฟาร์มขุนก็ต้องเลือกใช้พ่อพันธุ์แบบใดมาใช้ผลิตโค เพราะทุกวันนี้ผู้ผลิตพันธุ์โคก็ยังขาดความเข้าใจในส่วนนี้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในรายละเอียดที่มองต่างกัน
ด้านผลตอบแทนของโคบีฟมาสเตอร์ลูกผสม ประมาณ 14 เดือนเป็นสัด อายุ 2 ปีคลอดลูกตัวแรกแล้ว และหากเลี้ยงสมบูรณ์ หลังจากคลอดลูกประมาณ1.5-2 เดือนเป็นสัด แสดงให้เห็นว่า มีลูกตั้งแต่อายุ 2 ปี ให้ผลตอบแทน แต่ขณะเดียวกันบราห์มันในฟาร์ม ตัวใหญ่ต้องใช้เวลากว่า 18-20 เดือน หรือประมาณ 2 ปี จึงเป็นสัดพร้อมผสม ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า2.5 ปี ถึงจะได้ลูก ลูกผสมบีฟมาสเตอร์ให้ผลตอบแทนเร็วกว่าถึง 6 เดือน ที่คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ เฉพาะค่าหญ้าก็แตกต่างกันถึง 9,000 บาท (ค่าอาหารวันละ 50 บาท) ดังนั้น ลูกโคที่ต้นทุนต่างกัน 9,000 บาท ในขณะที่บีฟมาสเตอร์เมื่ออายุ2.5 ปีได้ท้องที่ 2 แล้ว ดังนั้น ในด้านของการปรับปรุงพันธุ์และให้ผลตอบแทนก็เร็วกว่า ขณะที่ราคาโคลูกผสมบราห์มันและลูกผสมบีฟมาสเตอร์ต่างกันประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
ฟาร์มเน้นขายโคหย่านมอายุประมาณ 1 ปี เป็นหลัก หากเกินกว่านั้นถ้าเป็นตัวเมียจะเข้าแผนการผสมพันธุ์ของฟาร์มแล้ว จะขายอีกครั้งหลังจากให้ลูก 2-3 ตัวไปแล้ว โดยขายราคาเริ่มต้น (ลูกหย่านม) ถ้าเป็นพันธุ์บราห์มันตัวเมียเริ่มที่ 200,000 บาท ตัวผู้ 60,000-100,000 บาท ขณะที่พันธุ์บีฟมาสเตอร์ ตัวเมียบีฟ เริ่มที่ 200,000 บาท และ ตัวผู้เริ่มที่ 150,000 บาท
“จากความเห็นส่วนตัวมองว่า บีฟมาสเตอร์เป็นโคพันธุ์ใหม่ของไทย ยังมีความต้องการค่อนข้างสูง เนื่องจากนำไปเลี้ยงแล้วรู้สึกว่า ใช้ และดี ก็ขยายฝูงต่อไป โดยการเลี้ยงโคของฟาร์มไม่ได้เลี้ยงโคดีกว่าชาวบ้าน เพราะพื้นที่กำแพงเพชร ไม่ได้มีหญ้าที่สมบูรณ์ และมียุงก็ป้องกันได้ สภาพอากาศร้อน ไม่ได้เหมาะกับการเลี้ยงสัตว์เท่าที่ควร ดังนั้น ฟาร์มมีชื่อเสียงที่ว่า หากฟาร์มเลี้ยงได้ทุกคนก็เลี้ยงได้” พี่กบกล่าว
พี่กบกล่าวต่อว่า หลังจากเลี้ยงพันธุ์แท้มาจนนิ่งแล้ว แต่ต้องยอมรับว่า นักปรับปรุงพันธุ์แต่ละคนมีความชอบที่แตกต่างกัน บางคนชอบตัวใหญ่ บางคนชอบตัวกลาง แต่ผู้ที่รู้อย่างแท้จริงเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียได้ตามหลักก็ถือเป็นเรื่องดี แต่บางคนไม่ก็เป็นความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น แต่การเลี้ยงโคที่ดี คือ เลี้ยงโคที่เหมาะสมกับตนเอง หากเลี้ยงโคที่ดีกว่าความสามารถในการเลี้ยงดูก็ไม่ได้ผลตอบแทนที่เต็มที่ ก็ต้องลดระดับโคที่ต้องเลี้ยง
ด้านภาพรวมตลาดโคเนื้อ การบริโภคเนื้อเพิ่มขึ้น เห็นได้จากจำนวนร้านปิ้งย่าง ชาบูเนื้อเพิ่มขึ้น และภาพการกินเนื้อก็ชัดเจนกว่าอดีตที่อาจมีคนถามว่า ทานเนื้อหรือไม่แล้วก็อาจไม่กล้าตอบ แต่ทุกวันนี้การทานเนื้อกลายเป็นเรื่องปกติ และคนมีความมั่นใจที่จะตอบว่า ต้องการบริโภคเนื้อประเภทใด เพียงแต่ว่า ที่ไทยมีความแตกต่างกับต่างประเทศ คือ การขาดตัวเลือกในการบริโภคเนื้อโค ซึ่งต่างจากประเทศอื่นๆ ที่อาจมีความชัดเจนในตัวเลือกการบริโภคเนื้อว่า มีการกินหรือใช้เท่าใด แต่ไทยไม่มีตัวเลขที่แท้จริง เหมือนกับโคที่มีตลาดอยู่ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ที่มีเนื้อโควางจำหน่าย แต่มีโคถูกขำแหละโดยที่ไม่รู้ว่า ถูกชำแหละเท่าใด ตัวเลขที่แจ้งกับความจริงอาจไม่ตรงกัน ทำให้ขาดตัวเลขที่แท้จริง แต่จากความรู้สึกพบว่า ตลาดเนื้อโคเปิดกว้างมากขึ้น จากเดิมที่ขายในตลาดสดบางแห่งเท่านั้น แต่ตอนนี้มีขายในห้างสะดวกซื้อ จึงเชื่อว่า มีการบริโภคเพิ่มขึ้นและข้อมูลอาจยังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ปัจจุบันมีการแบ่งผู้เลี้ยงโคเนื้อ แบ่งเป็น ต้นน้ำกลางน้ำปลายน้ำ แต่ส่วนตัวแบ่งการเลี้ยงโคแบ่งเป็น คนเลี้ยงโคต้นน้ำ คนเลี้ยงขุน และโรงฆ่าและร้านจำหน่าย แต่จากเดิม 4 กลุ่มนี้ มีการแบ่งผลประโยชน์อย่างลงตัวไปแล้วว่า แต่ละส่วนมีกำไรหรือผลประโยชน์เท่าใดก็พบว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนเลี้ยงโคและขุนโคมีสัดส่วนกำไรน้อยเกินไป หรือเรียกได้ว่า ไม่เหมาะสมการเลี้ยงโคของไทย โดยคนเลี้ยงโคต้นน้ำอาจมีกำไรประมาณ 3,000 บาทต่อตัวต่อปี คนขุนโคก็มีกำไรอยู่ประมาณ 3,000-4,000 บาทต่อตัวต่อปี แต่คนเอาไปชำแหละมีกำไรมากกว่านั้น ทั้งๆที่ใช้เวลาเพียง 30 นาทีในการฆ่าและชำแหละ แต่มีกำไรมากกว่าคนเลี้ยงและขุนมาก คนเลี้ยงผลิตลูกปีละ 1 ตัว คนขุนใช้เวลา 6-8 เดือน ได้ 1 ตัว คนชำแหละ 1 ชั่วโมง ส่งต่อไปที่ร้านแยกชิ้นส่วนขายก็มีกำไรอีกระดับหนึ่ง ถือเป็นการเฉลี่ยผลประโยชน์ที่ไม่ยุติธรรม
จากวิกฤตโรคโควิด-19 ระบาด ส่งผลให้ตลาดโคซบเซาลง แต่ในด้านคุณภาพโคดีขึ้น เพราะนักปรับปรุงพันธุ์โคในช่วงโควิดไม่มีสนามโชว์ตัวการขายก็ไม่เกิด ทำให้มีลูกโครุ่นใหม่มาปรับปรุงพันธุ์ต่อทำให้ดีขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพราะขายน้อยลง ประกอบกับเศรษฐกิจไม่ดีก็มีคนซื้อลดลง แต่ตอนนี้ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว
สำหรับความสุขของคนเลี้ยงโคเนื้อ ในส่วนของคนเลี้ยงและปรับปรุงพันธุ์โค ในกลุ่มใช้คำว่า “พาโคไปหาเพื่อน” การแข่งขันก็เป็นการแข่ง แต่เน้นการพบปะสังสรรค์พูดคุยกันมากกว่า แพ้ชนะไว้ทีหลัง ก็เป็นสิ่งที่คนเลี้ยงมองเพราะการแข่งขันมีคนชนะแค่คนเดียว ดังนั้น อยากเห็นบรรยากาศวงการโคเนื้อมีความสามัคคีกัน อยากบอกว่า สิ่งที่เกิดในวันนี้ ทั้งการประกวด หรือสมาคม กลุ่มต่างๆ เป็นผลจากการทำมา 10-20 ปีแล้ว ไม่ว่าจะคนเลี้ยงจากประสบความสำเร็จอย่างไรก็ต้องนึกคนเก่าที่บุกเบิกกันมา ปัญหามีทุกอย่าง เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปก็ต้องช่วยกัน ร่วมมือกันไปด้วยการ เพื่อพัฒนาวงการโคเนื้อให้เติบโตต่อไป ส่วนคนรุ่นใหม่ที่จะเลี้ยงโคก็ชื่นชม คนที่เข้ามาในวงการช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา เป็นคนที่มีความสามารถและมีข้อมูลมีการศึกษาก่อนลงทุน
แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ วันนี้มีโคบางส่วนที่ขายผ่านออนไลน์ ด้วยการไปดูโคตัวจริงเพราะเมื่อโคมีราคาเพิ่มก็จะมีกลุ่มคนที่เห็นประโยชน์เข้ามา ทำให้มีปัญหาในเรื่องต่างๆ ได้ก็ต้องมองว่า การลงทุนซื้อโคราคาแพงมันคุ้มหรือไม่ หรือการขายผ่านโทรศัพท์ ถือเป็นสิ่งที่ต้องระวัง ควรไปดูตัวจริง เพื่อพิจารณาโคก่อนตัดสินใจ แต่ความสะดวกอาจเป็นจุดบอด ต้องดูโคด้วยตนเอง เพื่อความสบายใจ…
ข้อมูลเพิ่มเติม TS FARM 339 หมู่ 12 ตำบลคลองขลุง อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร 62120
โทร. 08-1888-3358
E-mail: tsfarm39@gmail.com
facebook: TS Farm-Brahman and Beefmaster