ก้าวข้ามความเชื่อ ข้าวโพด ถั่วเหลือง GMOs … ปลอดภัยและจำเป็นกับอนาคตไทย

ในโลกยุคใหม่ที่ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่พื้นที่เพาะปลูกกลับลดลงอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของเมืองและผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีดัดแปลงพันธุกรรม หรือจีเอ็มโอ (Genetically Modified Organisms : GMOs) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจหลัก เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และฝ้าย ที่สามารถปรับปรุงพันธุกรรมให้ต้านทานโรค แมลงศัตรูพืช หรือสารกำจัดวัชพืชได้

แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำไปใช้ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในวัตถุดิบที่ประเทศไทยนำเข้า แต่ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายเปิดรับจีเอ็มโออย่างเป็นทางการในภาคการผลิต บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาทของจีเอ็มโอในระบบอาหารไทย ความปลอดภัยที่ได้รับการยืนยันจากวิทยาศาสตร์ สถานการณ์การใช้ในภาคเศรษฐกิจ และแนวทางเชิงนโยบายในการบริหารจัดการเทคโนโลยีนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถึงแม้ไทยยังไม่อนุญาตให้ปลูกพืชจีเอ็มโอเชิงพาณิชย์ แต่ในทางปฏิบัติ พืชจีเอ็มโอมีบทบาทสำคัญในระบบอาหารของไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจีเอ็มโอจำนวนมากจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ ทั้งสหรัฐอเมริกา บราซิล และอาร์เจนตินา
ข้อมูลจากกรมศุลกากร ระบุว่า ประเทศไทยนำเข้าวัตถุดิบจีเอ็มโอรวมกันมากกว่า 8 ล้านตันต่อปี โดยเฉพาะ ถั่วเหลืองจีเอ็มโอ ซึ่งใช้เป็นแหล่งโปรตีนหลักในอาหารสัตว์ อาทิ สุกร ไก่ไข่ ไก่เนื้อ อุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นรากฐานของระบบอาหารไทยและมีบทบาทสำคัญต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์
ขณะที่ข้อกังวลเกี่ยวกับพืชจีเอ็มโอที่พบบ่อย ได้แก่ ความเสี่ยงด้านสุขภาพและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตรวจสอบจากองค์กรระดับโลกได้ข้อสรุปตรงกันว่า “พืชจีเอ็มโอที่ผ่านการประเมินตามมาตรฐาน ไม่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์”
เริ่มจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่า “อาหารดัดแปลงพันธุกรรมในตลาดปัจจุบันได้ผ่านการประเมินความปลอดภัยแล้ว และไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์” องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) มีมาตรฐานการประเมินที่เข้มงวด ครอบคลุมพิษวิทยา โภชนาการ และการแพ้
European Food Safety Authority (EFSA) ยืนยันว่า “สารพันธุกรรมในพืชจีเอ็มโอถูกย่อยสมบูรณ์ในระบบย่อยอาหาร ไม่ตกค้างในผลิตภัณฑ์จากสัตว์”
ดังนั้น การนำเข้าพืชจีเอ็มโอไม่เพียงตอบสนองด้านวัตถุดิบ แต่ยังส่งผลเชิงบวกต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยในหลายระดับ
นับจาก อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน การใช้วัตถุดิบจีเอ็มโอช่วยลดต้นทุนลง 10–15%เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และรักษาเสถียรภาพด้านราคา
ธุรกิจปศุสัตว์ เช่น ไก่เนื้อ ไก่ไข่ สุกร และโค ล้วนบริโภคอาหารที่มีวัตถุดิบจีเอ็มโอ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีต้นทุนต่ำและมีคุณภาพเพียงพอต่อการส่งออก เช่น ไก่แช่แข็งของไทยที่ครองตลาดในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป
อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป จีเอ็มโอเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น น้ำมันถั่วเหลือง แป้งข้าวโพด ไอโซเลตโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อโรงงานอาหารนับพันแห่ง ช่วยเสริมศักยภาพการส่งออกอาหารสำเร็จรูปของไทย
หลายประเทศที่มีระบบเกษตรกรรมก้าวหน้า อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล และออสเตรเลีย ได้ใช้เทคโนโลยีจีเอ็มโออย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อการบริโภคภายในและการส่งออก โดยมีระบบประเมินความปลอดภัยที่เข้มงวดตั้งแต่ระดับเมล็ดพันธุ์จนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
ประเทศในสหภาพยุโรป แม้จะเข้มงวดเรื่องการปลูกจีเอ็มโอ แต่กลับ อนุญาตให้นำเข้าพืชจีเอ็มโออย่างเสรี เพื่อใช้ในอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมแปรรูป โดยใช้หลักการประเมินตาม “หลักฐานทางวิทยาศาสตร์” เป็นฐานการตัดสินใจ
ตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า พืชจีเอ็มโอที่ผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดนั้นมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ขณะที่บทบาทของจีเอ็มโอในระบบอาหารไทยก็มีอยู่จริงในภาคอุตสาหกรรม แต่กลับยังไม่มีนโยบายรองรับอย่างชัดเจน
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควร มองจีเอ็มโอในฐานะเครื่องมือหนึ่ง ที่สามารถช่วยยกระดับความมั่นคงทางอาหาร เพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ ให้แข่งขันได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลง…