1% หมูอเมริกา แลกภาษี 19% ที่อาจล้มผู้เลี้ยงหมูไทยทั้งระบบ

โดย วิชญ์ เจริญคุณทรัพย์

หลังจากได้ทราบผลการเจรจาภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่สหรัฐฯ ประกาศจัดเก็บกับสินค้าไทยที่ 19% ซึ่ง 1 ในข้อเสนอที่ไทยนำไปต่อรอง จากการสัมภาษณ์ของ คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ช่วงหนึ่งที่ได้ยอมรับว่า มีการเปิดตลาดเนื้อหมูจากสหรัฐฯ มาได้ในปริมาณที่น้อยมากๆ ประมาณ 1% ของปริมาณการบริโภคในประเทศ สร้างความกังวลแก่ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศไทยทันที เพราะตัวเลข 1% แม้ดูเล็กในเชิงสถิติ แต่สำหรับเกษตรกรที่เผชิญวิกฤตโรคระบาดและต้นทุนสูงมาอย่างต่อเนื่อง นี่คือ “ระเบิดเวลา” ที่อาจทำลายห่วงโซ่การผลิตสุกรทั้งระบบได้ในเวลาไม่นาน

เมื่อย้อนไปในช่วงที่โรค ASF ในสุกรเข้าทำลายระบบฟาร์มทั่วประเทศ “หมูหายจากระบบไปกว่าครึ่ง ฟาร์มที่เคยเลี้ยงเป็นพันตัวต้องปิด ว่างเปล่าไปนานหลายปี” ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มฟื้นตัวบ้าง แต่ยังมีร่องรอยความสูญเสีย และภาระหนี้สินที่ฟาร์มต้องแบกรับ ขณะเดียวกัน เกษตรกรไทยยังคงพยายาม “รักษาอาชีพ” ด้วยการร่วมมือกับรัฐในด้านต่างๆ รวมถึงการต่อสู้กับ “หมูเถื่อน” ที่ลักลอบนำเข้ามาเป็นจำนวนมากนานนับปี

ดังนั้น การเปิดตลาดให้มีการนำเข้า แม้เพียง 1% ของกำลังการบริโภคในประเทศ คิดเป็นเนื้อหมูราว 10,000 ตัน หรือคิดเป็นหมูขุนไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัว เลยทีเดียว ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “กลไกราคา” ที่หมูนำเข้าจะไปปรากฏในตลาดสด ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร โรงงานแปรรูป และกลายเป็นอาวุธในการกดราคาหมูไทย เพราะที่ผ่านมา แค่ข่าวว่าจะนำเข้า ก็กระทบให้ ราคาหมูตกได้แล้ว ถ้ามีของจริงเข้ามา คงกระทบหนักเหมือนกับช่วงที่มี “หมูเถื่อน” ลักลอบนำเข้ามา หรืออาจรุนแรงกว่าแน่นอน

หากเป็นเช่นนั้น จะส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตสุกรทั้งระบบ โดยระยะสั้น เกษตรกรรายย่อยจะเริ่มหยุดเลี้ยงเพื่อเลี่ยงขาดทุน หรือขายหมูก่อนกำหนด ทำให้ฟาร์มบางแห่งต้องลดคนงานหรือลดจำนวนแม่พันธุ์ทันที ระยะกลาง หากเปิดทางให้หมูนำเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้เพียง 2-3% โครงสร้างอุตสาหกรรมจะเปลี่ยน กลุ่มรายย่อยจะทยอยล้มหาย เหลือเฉพาะฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพต้นทุนต่ำเท่านั้น และระยะยาว ไทยอาจกลายเป็นผู้นำเข้าเนื้อหมูถาวร ความมั่นคงทางอาหารในประเทศจะถูกแทนที่ด้วยความพึ่งพาต่างชาติ และหากวันใดสหรัฐฯ หยุดส่งหรือขึ้นราคา ก็อาจไม่มีหมูในประเทศหลงเหลือพอสำหรับการบริโภค

เพื่อยุติความกังวลที่กระจายไปทั่วฟาร์มหมูทั้งประเทศ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ โดย นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมฯ ได้ส่งหนังสือเปิดผนึกถึง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร เพื่อขอคำยืนยัน 2 ข้อสำคัญ 1. ยืนยันว่า ไม่มีการตกลงเปิดตลาดเนื้อสุกรจากสหรัฐฯ ในช่วงการเจรจาครั้งที่ผ่านมา 2. ไม่มีการรับปากใดๆ ที่จะพิจารณาในครั้งต่อๆ ไป กับการเปิดตลาดสินค้าสุกรจากสหรัฐฯ เพราะจากการให้สัมภาษณ์ท่านใช้คำตอบว่า ถ้ามีการเปิดก็จะมีแนวทางในการพิจารณา 3 ประการ คือ 1) จำกัดปริมาณไม่เกิน 1% ของการบริโภคในประเทศ 2) กำหนดมาตรการ เช่น ตรวจรับรองต้นทาง 3) พิจารณาความต้องการของตลาดในประเทศ  

ในจดหมายฉบับนี้ยังระบุชัดเจนว่า เกษตรกรสุกรในประเทศได้ให้ความร่วมมือกับภาครัฐมาโดยตลอด ทั้งการรับซื้อข้าวโพดในราคาที่ช่วยเกษตรกรพืชผล และการจำกัดราคาขายสุกรในช่วงที่ราคาสูง แม้จะไม่คุ้มทุนก็ตาม

ที่สำคัญคือ ขณะนี้ ปริมาณสุกรในประเทศมีส่วนเกินอยู่แล้ว และกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรรายใหญ่ 12 รายก็เพิ่งลงนามร่วมกันว่าจะ ไม่เพิ่มปริมาณการผลิตสุกร เพื่อป้องกันราคาตกต่ำ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ณ กรมปศุสัตว์

เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศไม่ได้คัดค้านการค้าเสรี แต่ขอให้แข่งขันอย่างยุติธรรม อย่าเอาราคาต่ำกว่าทุนจากต่างประเทศมาแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้น จึงต้องทราบความชัดเจนว่า ในเรื่องของเนื้อหมูที่นำไปเจรจา มีรายละเอียดอย่างไร โดยเฉพาะสารเร่งเนื้อแดงที่สหรัฐยังคงใช้อยู่ ไทยโดยข้อกำหนดกรมปศุสัตว์ของไทยได้ยกเลิกการใช้มากว่า 20 ปีแล้ว เพราะทราบดีมีผลกระทบก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ในระบบหายใจ และสารก่อมะเร็ง ซึ่งถือว่า เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคประชาชนคนไทย หากปล่อยให้นำเข้ามาโดยไม่ควบคุม

ทั้งนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูยังวอนรัฐบาลขอความชัดเจนจากรัฐบาลเรื่อง การนำเข้าเนื้อหมูจากอเมริกา เพราะทุกวันนี้ผู้เลี้ยงอยู่ในภาวะหลังผิงฝา ต้องรับมือกับต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง และต้องเฝ้าระวังป้องกันโรคไม่ให้เสียหาย หากปล่อยมีการนำเข้ามาอีก ผู้เลี้ยงก็คงรับไม่ไหว และหลายคนคงต้องเลิกเลี้ยงหมูไปอย่างน่าเสียดาย กระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของไทยแน่นอน…

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related News