“ความจริงปรากฏ” ไทยส่งออกปลาหมอคางดำ ปี 2556-2559

ที่สุดความจริงก็ปรากฏ เมื่อ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ให้ข้อมูลกับ คณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำ เมื่อวันที่ 18 กรกฏาคม 2567 ว่า “ตรวจสอบแล้วพบว่า มีการส่งออกปลาเมื่อปี 2556-2559 ไป 17 ประเทศ มีผู้ส่งออก 11 ราย มีปลาที่ส่งออกทั้งสิ้น 230,000 ตัว” เป็นการตอบคำถามสำคัญของสังคมอีกข้อหนึ่ง ถึงต้นตอของการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ
คำถามต่อไป คือ แล้วปลาพ่อแม่พันธุ์ สำหรับเพาะพันธุ์เพื่อการส่งออกมาจากที่ไหน ทำไมไม่มีการขออนุญาตนำเข้า เหมือนบริษัทเอกชนที่ต้องตกที่นั่งลำบาก เพราะนำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย
พิจารณาจากข้อมูลที่สื่อมวลชนนำเสนอในช่วงนี้ ทำให้มองไปถึงขั้นตอนการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้า-ส่งออกสัตว์น้ำของภาครัฐว่ามีความเข้มแข็งและเข้มงวดมากพอหรือไม่ เพราะมีตัวเลขส่งออก แต่ไม่มีตัวเลขนำเข้า ราวกับว่าพ่อแม่พันธุ์ปลาหมอคางดำ ที่เพาะเลี้ยงเพื่อส่งออกเป็นปลาสวยงาม ล่องหนเข้ามาในประเทศไทย แม้กรมประมงจะชี้แจงเหตุผลหนึ่งว่าพันธุ์ปลามาจากธรรมชาติ แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ผู้เลี้ยงปลาเพื่อส่งออกว่า ปลาสวยงามนั้นเป็นความต้องการลักษณะเฉพาะ เช่น สีสัน เส้นสายบนตัวปลา รวมถึงความแข็งแรง ต้องเลี้ยงให้ตรงตามความนิยมของตลาดซึ่งจะมีผลต่อราคา
กรณี “ปลาหมอสีคางดำ” ที่พบการระบาดใน 16 จังหวัด ช่วงเวลานี้ หากมาหาต้นตอและถกเถียงกันหาตัวคนผิด ภาครัฐควรจะเข้าเกียร์รถแข่ง เปลี่ยนโจทย์ตามที่ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน สั่งการให้เร่งแก้ปัญหาการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุด ด้วยการหาวิธีจับปลาอย่างมีประสิทธิภาพ และวิธีการจูงใจให้มาลงแขกจับปลากัน จับมาได้แล้วต้องรณรงค์ให้มีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น ให้ความรู้ว่าปลาชนิดนี้กินได้เหมือนปลาปกติ เพราะที่ผ่านมาเรียกขานกันว่า เอเลี่ยนสปีชี่ส์ ปลาปีศาจ หรือ ปลาวายร้าย ต่างๆ นานา สร้างภาพน่ากลัวจนไม่กล้ากิน ทั้งที่มีโปรตีนและคุณค่าทางอาหาร ปรุงง่ายได้หลายเมนู หรือ จะส่งเสริมทำผลิตภัณฑ์อาหารก็ทำได้ไม่ยาก
อธิบดีกรมประมง บัญชา สุขแก้ว ยอมรับว่า มีปัญหาการระบาดของสัตว๋เอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) หลายชนิด ในประเทศไทย โดย ปลาหมอสีคางดำ อาจมีที่มาจาก 2 ทาง คือ การลักลอบนำเข้ามาในประเทศ และการขออนุญาตนำเข้าเมื่อปี 2553 เพื่อทดลองวิจัยแล้วอาจหลุดรอดสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ถือเป็นประเด็นที่กำลังถูกจับตาจากสังคม เพราะเป็นข้อมูลที่ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการเพียงครั้งเดียว ซึ่งบริษัทเอกชนยืนยันว่า ปลาที่นำเข้ามาตายระหว่างขนส่งเหลือเพียงปลาที่อ่อนแอและทยอยตาย จึงตัดสินใจยุติการวิจัยและทำลายซากปลาตามมาตรฐาน พร้อมแจ้งกรมประมง และส่งตัวอย่างปลาดองฟอร์มาลีนทั้งหมดให้กรมประมงในปี 2554 แล้วนั้น กรมประมงชี้แจงว่า ไม่ได้รับตัวอย่างดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เอกสาร พยาน และหลักฐานในการพิสูจน์ต่อไป
แต่ข้อมูลอีกด้านที่ทุกฝ่ายควรทราบ คือ ปลาหมอสีคางดำ (Blackchin Tilapia) หรือ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sarotherodon melanotheron เป็นปลาต่างถิ่นที่ถูกนำไปเลี้ยงเป็นปลาสวยงามในกว่า 10 ประเทศ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น
ยกตัวอย่าง ข้อมูลจากกองทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลของสหรัฐอเมริกา พบว่า สหรัฐฯเคยมีการนำเข้าปลาหมอสีคางดำมาทดลองเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ปลาหลุดออกไปในแหล่งน้ำธรรมชาติและมีการแพร่ระบาดจำนวนมาก ทำให้มีการประกาศห้ามนำเข้าจนถึงปัจจุบัน (https://dlnr.hawaii.gov/ais/blackchin-tilapia/) หรืออีกกรณีในปี 2556 ประเทศฟิลิปปินส์ มีรายงานการพบปลาหมอสีคางดำในระบบนิเวศและฟาร์มปลาในเมืองบาตาอัน (Bataan) ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการเรียกขานปลาชนิดนี้กันว่า Gloria, Cichilds, Tilapia Arroyo
ที่สำคัญ จากข้อมูลเว็บไซต์ของกรมประมง พบรายงานว่า ไทยมีการส่งออกปลาหมอสีคางดำ เป็นปลาสวยงามต่อเนื่องในช่วงปี 2556-2559 จำนวนมากกว่า 320,000 ตัว มูลค่าส่งออกรวม 1,510,050 บาท ส่งออกไป 15 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา ซิมบับเว ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย รัสเซีย มาเลเซีย อาเซอร์ไบจาน เลบานอน ปากีสถาน อียิปต์ สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ อิสราเอล อิหร่าน โปแลนด์ และตุรกี (ดังตาราง)

จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า การส่งออกปลาหมอสีคางดำมีชีวิต เป็นปลาสวยงามนั้น มาจากที่ใด มีใครเป็นผู้นำเข้าพ่อแม่พันธุ์มาเพาะเลี้ยง ที่สำคัญคือมีการขออนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่ รวมถึงมีการตรวจติดตามการเพาะเลี้ยงหรือไม่ แล้วทำไมกรมประมงไม่เอะใจเลยว่า หากไม่มีการนำเข้ามาแล้วปลาหมอสีคางดำ ที่เป็นปลาต่างถิ่นห้ามเพาะเลี้ยงในประเทศ แต่มีการส่งออกได้อย่างไร
และหลังจากปี 2559 ที่การส่งออกปลาหมอสีคางดำ เกือบเป็นศูนย์ แล้วพ่อแม่พันธุ์ และลูกหลานปลาที่ไม่ได้ส่งออกจัดการอย่างไร ในเวลานั้นไทยมีกฎระเบียบในการป้องกันผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาชนิดนี้มีความเข้มงวดและเข้มแข็งเพียงใด ถือเป็นอีกสิ่งที่ต้องพิสูจน์
ซึ่งต่อมา ในปี 2561 มีประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยง กำหนดห้ามนำเข้าปลา 3 ชนิด คือ 1. ปลาหมอสีคางดำ 2. ปลาหมอมายัน (Cichlasoma urophthalmus) และ 3. ปลาหมอบัตเตอร์ (Heterrotilapia buttikoferi) หากต้องนำเข้าต้องได้รับอนุญาตจากกรมประมง เท่านั้น
มาถึงตรงนี้ อาจมีข้อสงสัยว่า ปลาหมอสีคางดำ ถือเป็นปลาสวยงามด้วยหรือ? ซึ่งประเด็นนี้ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Jessada Denduangboripant ระบุว่า…”ปลาหมอคางดำ” ที่สีสวยๆ ก็มีนะครับ อย่าคิดแต่ว่าจะต้องดูสีตุ่นๆ คล้ายปลานิลเท่านั้น .. เจอแบบนี้ ก็ต้องกำจัดเหมือนกันครับ! ภาพนี้จากสมาชิกกลุ่ม Siamensis.org ถ่ายที่แหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี คาดกันว่าเป็นปลาตัวผู้ ช่วงฤดูผสมพันธุ์ เลยมีสีสันสวยงาม ดึงดูดตัวเมีย ในประเทศอื่นๆ ที่มีปลาหมอคางดำระบาด เช่น ในอเมริกา (รัฐฟลอริด้า รัฐฮาวาย) และในฟิลิปปินส์ ก็คาดกันว่า มาจากคนที่ค้าปลาแปลกๆ สวยงาม แอบเอาเข้าประเทศมากันครับ เลยระบาด (ส่วนของไทย ยังเป็นคำถามกันอยู่ครับ <ที่มาจาก https://www.facebook.com/groups/122260101128398/permalink/8146077188746609/?app=fbl ทำไมปลาหมอสีคางดำตัวนี้ถึงสีสวยคะ เห็นจากโพสต์ของคนทั่วไปหรือภาพจากข่าวจะเห็นเป็นโทนสีดำๆเหมือนปลานิล แต่ตัวนี้มองด้วยตาเปล่าก็เห็นเป็นสีแบบนี้เลย ถ่ายวันที่ 24มิถุนายน 2567 ที่แหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี>
ดังนั้น “ปลาหมอสีคางดำ” ที่ระบาดในประเทศไทย อาจมาจากการลักลอบนำเข้าจากผู้ผลิตหลายราย แต่ไม่มีรายงาน ซึ่งการพิสูจน์ข้อเท็จจริง จึงควรดำเนินการอย่างรอบด้าน แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ การกำจัด ปลาหมอสีคางดำ ที่แพร่ระบาด ด้วยมาตรการต่างๆ อย่างเร่งด่วน โดยภาครัฐควรดำเนินการอย่างเป็นระบบ เริ่มจากระดมสมองผู้เชี่ยวชาญวางแนวทางที่สอดคล้องกัน ที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อลดปริมาณปลาและผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับศึกษาจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำมาแล้ว และต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
พร้อมกันนี้ ต้องวางมาตรการป้องกันที่เข้มงวดในอนาคต หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ คงไม่มีผู้ประกอบการรายใดกล้าขออนุญาตนำเข้าสัตว์น้ำอย่างถูกต้องอีก เพราะเมื่อเกิดปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นระบาดก็กลายเป็นจำเลยสังคมทันที โดยไม่มีใครสนใจผู้ลักลอบนำเข้า หรือความบกพร่องในการดำเนินงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบ จึงต้องถอดบทเรียนจากปัญหาครั้งนี้